วันที่ 20 มีนาคม 2553 นับเป็นวันที่หลายๆ คนมีความสุข จาก “ม็อบดาวฤกษ์” แห่งความรักที่ออกไปทั่ว กทม. นับว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง
...ม็อบเสื้อแดง ส่งสัญญาณแห่งความรักกับคน กทม.
...คน กทม. ที่ทนรถติดมาแล้วร่วมสัปดาห์ ก็ทนรถติดมากขึ้น อดทนอดกลั้น ไม่เสี่ยงให้มีปัญหา
...รัฐบาลไม่เสริมสร้างความเกลียดชัง ชื่นชมทั้งคนเสื้อแดง และคน กทม. ว่ารักษาความสงบได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมผู้ชุมนุมที่เดินทางรอบ กทม. โดยไม่สร้างปัญหา ... ชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่ทุ่มเทแก้ปัญหาจราจรเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ... ชื่นชมคน กทม. ที่อดทนต่อภาวะรถติดทั่วกรุง ด้วยความอดทน
อดีตนายกฯ พลเอกชวลิต ถึงกับบอกว่า เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง
คนเสื้อแดงที่ออกมาเห็นพี่น้องชาวไทยใน กทม. ด้วยกัน บ้างที่เห็นไปทางเดียวกันก็ยังได้ให้กำลังใจ ไม่มีปัญหาต่อกันกับคนในพื้นที่ ก็คงมีความสุข
เชื่อว่าเป็นความสุขที่ดีกว่าสมัยมีปัญหากับชุมชนนางเลิ้งถึงขั้นทำร้ายกันจนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่เสียชีวิตไป 2 คน มีปัญหากับชุมชนชาวมุสลิมย่านเพชรบุรี มีปัญหากับชาวสีลมสาทรในการขวางถนน มีปัญหาเผารถประจำทาง เผายางรถยนต์ เอารถแก๊สมาไว้ใกล้ชุมชนจนสร้างความตื่นตระหนกมากมาย
แม้คน กทม. จะต้องหงุดหงิดบ้างจากปัญหารถติดเป็นพิเศษ แต่ก็เชื่อว่า มีความสุขใจกว่าสภาวะช่วงเมษายน ปี 2552 ซึ่งมีทั้งการปิดถนน การเผารถเมล์ การเผายางรถยนต์ การกระทบกระทั่งกันมากมาย
นี่ก็เป็นเพราะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข” และ “ที่ใดไร้รัก ที่นั่นมีทุกข์” นั่นเอง
แม้บางคนรู้สึกไม่ชอบการกระทำของกลุ่มที่คิดแตกต่าง อาจจะอยากโต้ตอบแบบ “ตาแทนตา ฟันแทนฟัน” แต่สิ่งที่เห็นก็คือ “การตอบโต้ความโกรธ ด้วยความรัก” แม้จะดูเหมือนตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามน้อยไป แต่ใจเรากลับมีความสุขมากกว่า
คนไทยจึงน่าจะระลึกเรื่องนี้ร่วมกัน
... “ศัตรูของคนไทย ไม่ใช่คนไทยกันเอง ไม่ใช่คนไทยกลุ่มที่คิดต่าง”
... แต่ “ศัตรูร่วมของคนไทยทุกกลุ่ม คือ ความโกรธ ความเกลียด และความแตกแยก”
ไทยทนจึงขอร่วมชื่นชมบรรยากาศที่สถานการณ์ตึงเครียด ก็ผ่านไปได้อย่างสันติอีกครั้งหนึ่ง
จะเห็นว่า การตอบรับ มุมมอง เมื่อจัดรูปแบบเป็น “ม็อบแห่งความรัก” ส่งความรักให้คน กทม. ทุกๆ ฝ่ายก็ใช้ความรักความอดทนมากกว่าความโกรธ ก็ส่งผลให้ทุกๆฝ่าย ทุกๆ กลุ่ม ทั้งเสื้อแดง หรือเสื้อสีใดๆ มีความสุขมากขึ้น
เห็นชัดว่า ดีกว่าช่วงที่มีการใช้ “เลือด” ของผู้ชุมนุมไปคุกคาม ป้ายสี (เลือด) ทำเนียบรัฐบาล สาดเลือดใส่บ้านพักนายกรัฐมนตรี กระทบคนในครอบครัว สร้างแรงกดดันอย่างไร้เหตุผลมากมาย มีการทำพิธีแช่งชักหักกระดูก ทั้งคนในม็อบก็ถอยหนี ประชาชนก็รู้สึกไร้สาระ และเป็นการลดความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุมอย่างมาก
จึงน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับผู้ชุมนุมว่า “ม็อบเสื้อแดงแห่งความรัก...ดีกว่าม็อบแช่งชักหักกระดูก” แต่อย่าให้มีม็อบ “ถูกหักหลัง” กันอีกเลย โดยมีปัญหาความน่ากลัวเช่นนั้น ดังนี้
1. ม็อบเมษาฯ 52 เป็นตัวอย่างของ “ม็อบหักหลัง” : เมื่อเราประมวลความจริงของเหตุการณ์ม็อบเมษาฯ 52 เราก็จะพบว่ามีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ...นัดชุมนุมโดยอ้างว่า “เพื่อประชาธิปไตย” ... พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาว่า “วันใดเสียงปืนแตก ผมจะเข้ามานำพี่น้องเอง” ... ก่อนเสียงปืนแตก ครอบครัวไปต่างประเทศก่อน ...เสียงปืนแตกแล้ว ท่านอยู่ไหน?
ทำไมไม่กลับมา? เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพที่ดูแลความสงบเรียบร้อย เขาดูแลด้วยสำนึกของคนไทยร่วมชาติ รักษาความรักสามัคคี ไม่มีใครตายหรือไม่? ท่านจึงรู้สึกว่า ยัง “สร้างความโกรธเกลียด” ไม่พอเพียงที่ท่านจะเข้ามา?
2. ปัญหาของม็อบเมษาฯ 52 คือ “หาศพ” ไม่ได้ : คนของท่านวิ่งหาศพมากมาย แม้กระทั่งผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ดูจะพยายามหาศพ คนไม่น้อยเริ่มรู้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เติบโตมาจากธุรกิจภาพยนตร์ ก็จะเข้าใจได้ว่า ตาม “ท้องเรื่อง” แล้ว มันต้องมีศพ
ในครั้งนั้น กลุ่มเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง นำโดยอดีตนักร้องดัง อ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ กลับถล่มงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน กระทบผู้นำชาติยิ่งใหญ่หลายประเทศที่ให้เกียรติมาประเทศไทย แทนที่ทำสำเร็จแล้วจะแยกย้ายกลับไป กลับมาแสดงตัวเป็นวีรชนบนเวทีคนเสื้อแดง ยุยงให้ปรบมือให้เกียรติผู้ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศ แล้วยังมีการปิดถนนมากมายใน กทม. เผารถประจำทาง เผายางรถยนต์ ยุยงให้ประชาชนต่อสู้กับทหาร
ในขณะที่สิ่งที่ทำก็ยั่วยุให้รัฐบาลต้องดำเนินการสลายการชุมนุมได้แล้ว ประชาชนมากมายเริ่มกดดันรัฐบาลให้เร่งจัดการเสียที แต่การสร้างความแตกแยก และความโกรธเกลียดชังนั้น กลับพ่ายแพ้ “ความรัก” และ “ความมีหัวใจไทยแท้” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพ จึงไม่มีใครตาย
การ “สร้างความโกรธเกลียดชิงชัง” กันเช่นนั้น ไม่รู้ว่าหัวจิตหัวใจทำด้วยอะไร? เพื่อชัยชนะของ “คนคนหนึ่ง” ถึงกับสร้างความแตกแยกระหว่างคนไทย และสร้างการเผชิญหน้า เพียงเพื่อให้มีคนไทยสักคน แม้กระทั่งอาจเป็นคนที่รักท่าน ต้องเสียสละชีวิตให้ได้ “ชัยชนะ” ของท่านเช่นนั้นเชียวหรือ?
3. ม็อบมีนาฯ 53 มุ่งเอาประชาชนไป “หากระสุน” เหลือเกิน : จุดเริ่มต้นก็คล้ายกันอีกแล้ว ก่อนจะนัดหมายก่อความวุ่นวาย ครอบครัวก็บินไปต่างประเทศ อุตส่าห์อธิบายว่า เป็นการไปชมนิทรรศการที่เยอรมนี นิทรรศการจบหรือยังครับ? หรือเพราะเห็นว่า ตาม “ท้องเรื่อง” จะต้องมีความรุนแรง จึงยังต้องอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น และจริงใจพอเพียง ก็น่าจะบอกกันแต่ต้น ไม่น่าจะอ้างว่าไปชมนิทรรศการให้มาจับโกหกกันได้ทีหลังเลย เพราะมันทำให้เสียความไว้วางใจ
ปฏิบัติการแรก เมื่อรวบรวมพลได้ตั้งแต่วันแรก ก็เคลื่อนพลทันที ไปท้าทายอำนาจที่กองพัน “ราบ 11” ท้าทายที่มั่นของนายกรัฐมนตรี ท้าทายทหารที่ท่านก็บอกกับคนของท่านว่า เหี้ยมโหด ฆ่าประชาชน ดีที่ทหารก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีอาวุธประจำกาย มีแต่อาวุธประจำตัว สื่อสารความรัก ให้เห็นความจริงว่า ทหารไม่เคยเห็นคนไทยด้วยกันเป็นศัตรู อย่างที่ผู้นำพยายามปลุกปั่นผู้ชุมนุม ก็ทำให้ม็อบสลายลงอย่างรวดเร็ว
4. ม็อบมีนาฯ 53 จัดแผน และจัดฉากถึง “เลือด” : แล้วคณะผู้นำการชุมนุมก็ได้ทำสิ่งที่ทำให้คนไทยต้องสะอิดสะเอียน ด้วยการรวบรวม “เลือด” ซึ่งผู้คนที่ “รู้ทัน” ลองคำนวณตามยอดที่มีแพทย์เพียง 6 คน เจาะคนหนึ่งก็ต้องมี 2-3 นาที ถึง 5 นาที แล้วจะต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง คนที่ผ่านบัญญัติไตรยางศ์ ป. 4 ก็น่าจะพอคำนวณได้ว่า จะรวบรวมล้านซีซี ได้อย่างไร? หลายคนจึงสงสัยว่ามีการเอาเลือดอะไรมาผสมด้วย
ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างคลิปเสียงตัดต่อ สรุปว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องเป็นโรคจิต จึงได้สั่งฆ่าประชาชน แต่กลับส่งคนของท่านไปข่มเหงท้าทายผู้ที่ท่านกล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชนเช่นนั้น ท่านไม่รัก หรือห่วงใยคนของท่านเลยหรือ? หรือนั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ ต้องยั่วยุให้โกรธ ให้ใช้อำนาจรัฐทำร้ายประชาชน ท่านจึงสมหวัง แต่ดีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ มีจิตใจและวุฒิภาวะสูงส่ง ยอมถ่อม ให้ความรัก ไม่โกรธ และปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไป
ไทยทนว่า นั่นเป็นการจุดประกายความคิดให้คนไทยทั้งประเทศ รวมทั้ง “คนกรุงเทพฯ” การต่อสู้กับสถานการณ์ที่มีผู้ยุยงนั้นว่า “ศัตรูของคนไทยไม่ใช่คนไทยกันเอง” แต่ “ศัตรูแท้คือ การยุยงให้โกรธเกลียดแตกแยก” จึงต้องชนะความโกรธด้วยความรัก และชนะความแตกแยกด้วยความ “รู้รักสามัคคี”
วันนั้น มีพระรูปหนึ่ง เทศน์ผ่านรายการวิทยุ ถึงการใช้ “ความรัก” และได้ยกตัวอย่างความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์มาประสูติในรางหญ้า ใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ สอนคนให้รักกัน ให้อภัยกัน แม้คนใส่ร้ายพระองค์ เฆี่ยน โบย ตี ตอก ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และเวลาช่วงสุดท้าย พระองค์ทรงเงยพระพักตร์อธิษฐานว่า “พระบิดา ให้อภัยพวกเขาเถอะ เขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” เป็นความรักให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ แม้กับผู้ที่ทำร้ายพระองค์อย่างไม่ชอบธรรม
น่ายินดี ที่ผู้นำไทย มีวุฒิภาวะสูง ใช้ความรักชนะความโกรธ ไม่มองคนเป็นศัตรูง่ายๆ ทำให้เราเกิดความสงบร่มเย็นต่อมา
5. ระหว่าง ม็อบมีนาฯ 53 มีการยั่วยุทหารควบคู่ไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดี : ขณะที่มีการบุกกองพันฯ ราบ 11 มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ร่วมชุมนุมมากมาย ก็มีกลุ่มคนยิงระเบิดเข้าไป ร. พัน 1 ร.อ. จำนวน 4 ลูก มีทหารบาดเจ็บด้วย เป็นการคุกคามและท้าทายเป็นอย่างมาก หากกองทัพต้องใช้หลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ก็คงเกิดการตอบโต้และสูญเสีย แต่ท่านผู้นำเสื้อแดงก็คงไม่สนใจ เพราะนั่นอาจเป็นเป้าหมายเพื่อชัยชนะของท่านใช่หรือไม่ ?
6. ม็อบมีนาฯ 53 เอาประชาชนไปเสี่ยงให้ชนกัน : การข่มขู่คน กทม. ว่าคนต่างจังหวัด จะเอารถเข้ามาจอดขวางให้รถติดเป็นอัมพาต จะเอารถอีแต๋นเข้ามามากมาย ฯลฯ ก็ทำให้คน กทม. เครียด การปิดการจราจรเป็นสัปดาห์ก็ได้สร้างความหงุดหงิดกับผู้ที่ไม่ได้รับความสะดวกมากมาย แต่ท่านก็ให้คนเสื้อแดงออกไปตระเวนทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก เช่นกัน ภาครัฐ และคน กทม. ก็เห็นความสำคัญของความ “รู้รักสามัคคี” ก็มิได้ใช้อารมณ์ เก็บความหงุดหงิดไว้ และเปิดทางให้ท่านได้แสดงออกทางประชาธิปไตยได้เต็มที่ และก็ต้องชมคนเสื้อแดง ที่ได้แสดงความรักกับผู้คนตลอดเส้นทาง และหวังว่าท่านจะเห็นชัดว่า สถานการณ์แห่ง “ความรัก” คือ สถานการณ์แห่งความสุข และการทำให้แตกแยก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ให้คนไทยมองกันเป็นศัตรูเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
7. ม็อบมีนาฯ 53 เอาประชาชนไปหากระสุนต่อไป : ความหิวกระหายหาศพ ทำให้ประชาชนน่าจะไว้ใจทหารจริง (ที่มีแต่อาวุธประจำตัว ไม่มีอาวุธประจำกาย) ได้มากกว่าแกนนำ นปช. กลับข่มขู่ทหารที่ช่วยปกป้องประชาชน อ้างว่าจะเอาการ์ด นปช. ประกบ ตรวจอาวุธ หากมีการทำร้ายทหารเหล่านั้น มีการสร้างสถานการณ์ทำร้ายประชาชน ใครจะรับผิดชอบ ประชาชน และคนเสื้อแดงที่หลงเข้ามาร่วมชุมนุมนั้น น่าจะได้คิดว่า ภาครัฐไม่ต้องสร้างสถานการณ์เลย โดยการประกาศ พ.ร.บ. มั่นคง ซึ่งเมื่อมีการชุมนุมเกินสันติ โดยปิดการจราจรจุดสำคัญ (5 แยกใหญ่ใจกลางเมือง) อย่างยาวนาน และเคลื่อนไหวสร้างความเดือดร้อนอยู่หลายครั้งนี้
หากจะสลายก็ทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการทำร้ายประชาชนเลย แต่สิ่งที่ภาครัฐต้องระวัง คือการสร้างสถานการณ์ของผู้ที่เติบโตจากธุรกิจภาพยนตร์แล้วใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาล (ดังที่ถนัด เช่นเอาเลือดไปทาที่ประตูทำเนียบฯ จะได้บอกว่า รัฐบาลเข้าทำเนียบฯ โดยก้าวข้ามกองเลือดของประชาชน ทั้งๆ ที่ไม่มีจริง) ท่านยังประกาศที่จะไล่ไปตรวจอาวุธทหาร พาประชาชนที่รักท่านไปหากระสุนอยู่ร่ำไปทำไม
น่าสะท้อนใจที่เห็นคนคนหนึ่ง “สละชาติ เพื่อชีพตน”
ช่างแตกต่างกับวีรบุรุษ พล.ต.อ. จ่าเพียร วีรบุรุษขาเหล็กของคนไทย ครอบครัวแม้ต้องเสียใจ แต่ก็ได้ภาคภูมิใจกับการอุทิศและความเสียสละของท่าน
การสูญเสียท่าน เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชาติ แต่จะมีคุณค่าเพียงไร อยู่ที่คนไทยเราทุกคน วีรชนบางระจัน ก็เสียสละให้ประเทศชาติอย่างมีคุณค่า เป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ที่ทำให้ลูกหลานคนไทยรู้รักสามัคคี ไม่ทรยศชาติ ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมต้านภัยการทำลายชาติ
แทนที่การสูญเสียของ “วีรบุรุษขาเหล็ก” แห่งบานังสตา จะทำให้คนเอามาใช้ประโยชน์ด้วยการโทษกัน แทนที่จะทำให้คนไทยกลับมีความหวาดกลัวหวั่นไหว นั่นจะทำให้วิญญาณจิตของท่านภาคภูมิใจจริงๆ หรือ
เมื่อคนไทยเราคิดเป็น ต้องให้การสูญเสียของ “วีรบุรุษขาเหล็ก” เป็นคุณค่าต่อคนไทย ให้รู้รักสามัคคี ต้องยิ่งรักกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการป้องกันศัตรูที่มาทำร้ายชาติไทย และเป็นการยกระดับตำรวจไทย ให้มีหัวใจเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ผู้ร่วมรักษาความสันติสุขให้กับราษฎรไทยอย่างแท้จริง
ในเมื่อเราเห็นชัดว่า “ม็อบเสื้อแดงแห่งความรัก...ดีกว่าม็อบแช่งชักหักกระดูก” ก็ขออย่าให้มีม็อบ “ถูกหักหลัง” กันอีกเลยครับ
นิทรรศการจบแล้ว ก็ให้ครอบครัวกลับบ้านเมืองไทยเถอะครับ หรือถ้าต้องอยู่ต่างประเทศเพราะท่านต้องการความรุนแรง ก็ขอให้ท่าน และพรรคของท่าน บอกกับประชาชนอย่างจริงใจดีกว่าไป “หักหลัง” เขาครับ
...ม็อบเสื้อแดง ส่งสัญญาณแห่งความรักกับคน กทม.
...คน กทม. ที่ทนรถติดมาแล้วร่วมสัปดาห์ ก็ทนรถติดมากขึ้น อดทนอดกลั้น ไม่เสี่ยงให้มีปัญหา
...รัฐบาลไม่เสริมสร้างความเกลียดชัง ชื่นชมทั้งคนเสื้อแดง และคน กทม. ว่ารักษาความสงบได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมผู้ชุมนุมที่เดินทางรอบ กทม. โดยไม่สร้างปัญหา ... ชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่ทุ่มเทแก้ปัญหาจราจรเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ... ชื่นชมคน กทม. ที่อดทนต่อภาวะรถติดทั่วกรุง ด้วยความอดทน
อดีตนายกฯ พลเอกชวลิต ถึงกับบอกว่า เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง
คนเสื้อแดงที่ออกมาเห็นพี่น้องชาวไทยใน กทม. ด้วยกัน บ้างที่เห็นไปทางเดียวกันก็ยังได้ให้กำลังใจ ไม่มีปัญหาต่อกันกับคนในพื้นที่ ก็คงมีความสุข
เชื่อว่าเป็นความสุขที่ดีกว่าสมัยมีปัญหากับชุมชนนางเลิ้งถึงขั้นทำร้ายกันจนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่เสียชีวิตไป 2 คน มีปัญหากับชุมชนชาวมุสลิมย่านเพชรบุรี มีปัญหากับชาวสีลมสาทรในการขวางถนน มีปัญหาเผารถประจำทาง เผายางรถยนต์ เอารถแก๊สมาไว้ใกล้ชุมชนจนสร้างความตื่นตระหนกมากมาย
แม้คน กทม. จะต้องหงุดหงิดบ้างจากปัญหารถติดเป็นพิเศษ แต่ก็เชื่อว่า มีความสุขใจกว่าสภาวะช่วงเมษายน ปี 2552 ซึ่งมีทั้งการปิดถนน การเผารถเมล์ การเผายางรถยนต์ การกระทบกระทั่งกันมากมาย
นี่ก็เป็นเพราะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข” และ “ที่ใดไร้รัก ที่นั่นมีทุกข์” นั่นเอง
แม้บางคนรู้สึกไม่ชอบการกระทำของกลุ่มที่คิดแตกต่าง อาจจะอยากโต้ตอบแบบ “ตาแทนตา ฟันแทนฟัน” แต่สิ่งที่เห็นก็คือ “การตอบโต้ความโกรธ ด้วยความรัก” แม้จะดูเหมือนตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามน้อยไป แต่ใจเรากลับมีความสุขมากกว่า
คนไทยจึงน่าจะระลึกเรื่องนี้ร่วมกัน
... “ศัตรูของคนไทย ไม่ใช่คนไทยกันเอง ไม่ใช่คนไทยกลุ่มที่คิดต่าง”
... แต่ “ศัตรูร่วมของคนไทยทุกกลุ่ม คือ ความโกรธ ความเกลียด และความแตกแยก”
ไทยทนจึงขอร่วมชื่นชมบรรยากาศที่สถานการณ์ตึงเครียด ก็ผ่านไปได้อย่างสันติอีกครั้งหนึ่ง
จะเห็นว่า การตอบรับ มุมมอง เมื่อจัดรูปแบบเป็น “ม็อบแห่งความรัก” ส่งความรักให้คน กทม. ทุกๆ ฝ่ายก็ใช้ความรักความอดทนมากกว่าความโกรธ ก็ส่งผลให้ทุกๆฝ่าย ทุกๆ กลุ่ม ทั้งเสื้อแดง หรือเสื้อสีใดๆ มีความสุขมากขึ้น
เห็นชัดว่า ดีกว่าช่วงที่มีการใช้ “เลือด” ของผู้ชุมนุมไปคุกคาม ป้ายสี (เลือด) ทำเนียบรัฐบาล สาดเลือดใส่บ้านพักนายกรัฐมนตรี กระทบคนในครอบครัว สร้างแรงกดดันอย่างไร้เหตุผลมากมาย มีการทำพิธีแช่งชักหักกระดูก ทั้งคนในม็อบก็ถอยหนี ประชาชนก็รู้สึกไร้สาระ และเป็นการลดความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุมอย่างมาก
จึงน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับผู้ชุมนุมว่า “ม็อบเสื้อแดงแห่งความรัก...ดีกว่าม็อบแช่งชักหักกระดูก” แต่อย่าให้มีม็อบ “ถูกหักหลัง” กันอีกเลย โดยมีปัญหาความน่ากลัวเช่นนั้น ดังนี้
1. ม็อบเมษาฯ 52 เป็นตัวอย่างของ “ม็อบหักหลัง” : เมื่อเราประมวลความจริงของเหตุการณ์ม็อบเมษาฯ 52 เราก็จะพบว่ามีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ...นัดชุมนุมโดยอ้างว่า “เพื่อประชาธิปไตย” ... พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาว่า “วันใดเสียงปืนแตก ผมจะเข้ามานำพี่น้องเอง” ... ก่อนเสียงปืนแตก ครอบครัวไปต่างประเทศก่อน ...เสียงปืนแตกแล้ว ท่านอยู่ไหน?
ทำไมไม่กลับมา? เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพที่ดูแลความสงบเรียบร้อย เขาดูแลด้วยสำนึกของคนไทยร่วมชาติ รักษาความรักสามัคคี ไม่มีใครตายหรือไม่? ท่านจึงรู้สึกว่า ยัง “สร้างความโกรธเกลียด” ไม่พอเพียงที่ท่านจะเข้ามา?
2. ปัญหาของม็อบเมษาฯ 52 คือ “หาศพ” ไม่ได้ : คนของท่านวิ่งหาศพมากมาย แม้กระทั่งผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ดูจะพยายามหาศพ คนไม่น้อยเริ่มรู้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เติบโตมาจากธุรกิจภาพยนตร์ ก็จะเข้าใจได้ว่า ตาม “ท้องเรื่อง” แล้ว มันต้องมีศพ
ในครั้งนั้น กลุ่มเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง นำโดยอดีตนักร้องดัง อ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ กลับถล่มงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน กระทบผู้นำชาติยิ่งใหญ่หลายประเทศที่ให้เกียรติมาประเทศไทย แทนที่ทำสำเร็จแล้วจะแยกย้ายกลับไป กลับมาแสดงตัวเป็นวีรชนบนเวทีคนเสื้อแดง ยุยงให้ปรบมือให้เกียรติผู้ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศ แล้วยังมีการปิดถนนมากมายใน กทม. เผารถประจำทาง เผายางรถยนต์ ยุยงให้ประชาชนต่อสู้กับทหาร
ในขณะที่สิ่งที่ทำก็ยั่วยุให้รัฐบาลต้องดำเนินการสลายการชุมนุมได้แล้ว ประชาชนมากมายเริ่มกดดันรัฐบาลให้เร่งจัดการเสียที แต่การสร้างความแตกแยก และความโกรธเกลียดชังนั้น กลับพ่ายแพ้ “ความรัก” และ “ความมีหัวใจไทยแท้” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพ จึงไม่มีใครตาย
การ “สร้างความโกรธเกลียดชิงชัง” กันเช่นนั้น ไม่รู้ว่าหัวจิตหัวใจทำด้วยอะไร? เพื่อชัยชนะของ “คนคนหนึ่ง” ถึงกับสร้างความแตกแยกระหว่างคนไทย และสร้างการเผชิญหน้า เพียงเพื่อให้มีคนไทยสักคน แม้กระทั่งอาจเป็นคนที่รักท่าน ต้องเสียสละชีวิตให้ได้ “ชัยชนะ” ของท่านเช่นนั้นเชียวหรือ?
3. ม็อบมีนาฯ 53 มุ่งเอาประชาชนไป “หากระสุน” เหลือเกิน : จุดเริ่มต้นก็คล้ายกันอีกแล้ว ก่อนจะนัดหมายก่อความวุ่นวาย ครอบครัวก็บินไปต่างประเทศ อุตส่าห์อธิบายว่า เป็นการไปชมนิทรรศการที่เยอรมนี นิทรรศการจบหรือยังครับ? หรือเพราะเห็นว่า ตาม “ท้องเรื่อง” จะต้องมีความรุนแรง จึงยังต้องอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น และจริงใจพอเพียง ก็น่าจะบอกกันแต่ต้น ไม่น่าจะอ้างว่าไปชมนิทรรศการให้มาจับโกหกกันได้ทีหลังเลย เพราะมันทำให้เสียความไว้วางใจ
ปฏิบัติการแรก เมื่อรวบรวมพลได้ตั้งแต่วันแรก ก็เคลื่อนพลทันที ไปท้าทายอำนาจที่กองพัน “ราบ 11” ท้าทายที่มั่นของนายกรัฐมนตรี ท้าทายทหารที่ท่านก็บอกกับคนของท่านว่า เหี้ยมโหด ฆ่าประชาชน ดีที่ทหารก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีอาวุธประจำกาย มีแต่อาวุธประจำตัว สื่อสารความรัก ให้เห็นความจริงว่า ทหารไม่เคยเห็นคนไทยด้วยกันเป็นศัตรู อย่างที่ผู้นำพยายามปลุกปั่นผู้ชุมนุม ก็ทำให้ม็อบสลายลงอย่างรวดเร็ว
4. ม็อบมีนาฯ 53 จัดแผน และจัดฉากถึง “เลือด” : แล้วคณะผู้นำการชุมนุมก็ได้ทำสิ่งที่ทำให้คนไทยต้องสะอิดสะเอียน ด้วยการรวบรวม “เลือด” ซึ่งผู้คนที่ “รู้ทัน” ลองคำนวณตามยอดที่มีแพทย์เพียง 6 คน เจาะคนหนึ่งก็ต้องมี 2-3 นาที ถึง 5 นาที แล้วจะต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง คนที่ผ่านบัญญัติไตรยางศ์ ป. 4 ก็น่าจะพอคำนวณได้ว่า จะรวบรวมล้านซีซี ได้อย่างไร? หลายคนจึงสงสัยว่ามีการเอาเลือดอะไรมาผสมด้วย
ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างคลิปเสียงตัดต่อ สรุปว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องเป็นโรคจิต จึงได้สั่งฆ่าประชาชน แต่กลับส่งคนของท่านไปข่มเหงท้าทายผู้ที่ท่านกล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชนเช่นนั้น ท่านไม่รัก หรือห่วงใยคนของท่านเลยหรือ? หรือนั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ ต้องยั่วยุให้โกรธ ให้ใช้อำนาจรัฐทำร้ายประชาชน ท่านจึงสมหวัง แต่ดีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ มีจิตใจและวุฒิภาวะสูงส่ง ยอมถ่อม ให้ความรัก ไม่โกรธ และปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไป
ไทยทนว่า นั่นเป็นการจุดประกายความคิดให้คนไทยทั้งประเทศ รวมทั้ง “คนกรุงเทพฯ” การต่อสู้กับสถานการณ์ที่มีผู้ยุยงนั้นว่า “ศัตรูของคนไทยไม่ใช่คนไทยกันเอง” แต่ “ศัตรูแท้คือ การยุยงให้โกรธเกลียดแตกแยก” จึงต้องชนะความโกรธด้วยความรัก และชนะความแตกแยกด้วยความ “รู้รักสามัคคี”
วันนั้น มีพระรูปหนึ่ง เทศน์ผ่านรายการวิทยุ ถึงการใช้ “ความรัก” และได้ยกตัวอย่างความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์มาประสูติในรางหญ้า ใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ สอนคนให้รักกัน ให้อภัยกัน แม้คนใส่ร้ายพระองค์ เฆี่ยน โบย ตี ตอก ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และเวลาช่วงสุดท้าย พระองค์ทรงเงยพระพักตร์อธิษฐานว่า “พระบิดา ให้อภัยพวกเขาเถอะ เขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” เป็นความรักให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ แม้กับผู้ที่ทำร้ายพระองค์อย่างไม่ชอบธรรม
น่ายินดี ที่ผู้นำไทย มีวุฒิภาวะสูง ใช้ความรักชนะความโกรธ ไม่มองคนเป็นศัตรูง่ายๆ ทำให้เราเกิดความสงบร่มเย็นต่อมา
5. ระหว่าง ม็อบมีนาฯ 53 มีการยั่วยุทหารควบคู่ไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดี : ขณะที่มีการบุกกองพันฯ ราบ 11 มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ร่วมชุมนุมมากมาย ก็มีกลุ่มคนยิงระเบิดเข้าไป ร. พัน 1 ร.อ. จำนวน 4 ลูก มีทหารบาดเจ็บด้วย เป็นการคุกคามและท้าทายเป็นอย่างมาก หากกองทัพต้องใช้หลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ก็คงเกิดการตอบโต้และสูญเสีย แต่ท่านผู้นำเสื้อแดงก็คงไม่สนใจ เพราะนั่นอาจเป็นเป้าหมายเพื่อชัยชนะของท่านใช่หรือไม่ ?
6. ม็อบมีนาฯ 53 เอาประชาชนไปเสี่ยงให้ชนกัน : การข่มขู่คน กทม. ว่าคนต่างจังหวัด จะเอารถเข้ามาจอดขวางให้รถติดเป็นอัมพาต จะเอารถอีแต๋นเข้ามามากมาย ฯลฯ ก็ทำให้คน กทม. เครียด การปิดการจราจรเป็นสัปดาห์ก็ได้สร้างความหงุดหงิดกับผู้ที่ไม่ได้รับความสะดวกมากมาย แต่ท่านก็ให้คนเสื้อแดงออกไปตระเวนทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก เช่นกัน ภาครัฐ และคน กทม. ก็เห็นความสำคัญของความ “รู้รักสามัคคี” ก็มิได้ใช้อารมณ์ เก็บความหงุดหงิดไว้ และเปิดทางให้ท่านได้แสดงออกทางประชาธิปไตยได้เต็มที่ และก็ต้องชมคนเสื้อแดง ที่ได้แสดงความรักกับผู้คนตลอดเส้นทาง และหวังว่าท่านจะเห็นชัดว่า สถานการณ์แห่ง “ความรัก” คือ สถานการณ์แห่งความสุข และการทำให้แตกแยก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ให้คนไทยมองกันเป็นศัตรูเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
7. ม็อบมีนาฯ 53 เอาประชาชนไปหากระสุนต่อไป : ความหิวกระหายหาศพ ทำให้ประชาชนน่าจะไว้ใจทหารจริง (ที่มีแต่อาวุธประจำตัว ไม่มีอาวุธประจำกาย) ได้มากกว่าแกนนำ นปช. กลับข่มขู่ทหารที่ช่วยปกป้องประชาชน อ้างว่าจะเอาการ์ด นปช. ประกบ ตรวจอาวุธ หากมีการทำร้ายทหารเหล่านั้น มีการสร้างสถานการณ์ทำร้ายประชาชน ใครจะรับผิดชอบ ประชาชน และคนเสื้อแดงที่หลงเข้ามาร่วมชุมนุมนั้น น่าจะได้คิดว่า ภาครัฐไม่ต้องสร้างสถานการณ์เลย โดยการประกาศ พ.ร.บ. มั่นคง ซึ่งเมื่อมีการชุมนุมเกินสันติ โดยปิดการจราจรจุดสำคัญ (5 แยกใหญ่ใจกลางเมือง) อย่างยาวนาน และเคลื่อนไหวสร้างความเดือดร้อนอยู่หลายครั้งนี้
หากจะสลายก็ทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการทำร้ายประชาชนเลย แต่สิ่งที่ภาครัฐต้องระวัง คือการสร้างสถานการณ์ของผู้ที่เติบโตจากธุรกิจภาพยนตร์แล้วใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาล (ดังที่ถนัด เช่นเอาเลือดไปทาที่ประตูทำเนียบฯ จะได้บอกว่า รัฐบาลเข้าทำเนียบฯ โดยก้าวข้ามกองเลือดของประชาชน ทั้งๆ ที่ไม่มีจริง) ท่านยังประกาศที่จะไล่ไปตรวจอาวุธทหาร พาประชาชนที่รักท่านไปหากระสุนอยู่ร่ำไปทำไม
น่าสะท้อนใจที่เห็นคนคนหนึ่ง “สละชาติ เพื่อชีพตน”
ช่างแตกต่างกับวีรบุรุษ พล.ต.อ. จ่าเพียร วีรบุรุษขาเหล็กของคนไทย ครอบครัวแม้ต้องเสียใจ แต่ก็ได้ภาคภูมิใจกับการอุทิศและความเสียสละของท่าน
การสูญเสียท่าน เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชาติ แต่จะมีคุณค่าเพียงไร อยู่ที่คนไทยเราทุกคน วีรชนบางระจัน ก็เสียสละให้ประเทศชาติอย่างมีคุณค่า เป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ที่ทำให้ลูกหลานคนไทยรู้รักสามัคคี ไม่ทรยศชาติ ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมต้านภัยการทำลายชาติ
แทนที่การสูญเสียของ “วีรบุรุษขาเหล็ก” แห่งบานังสตา จะทำให้คนเอามาใช้ประโยชน์ด้วยการโทษกัน แทนที่จะทำให้คนไทยกลับมีความหวาดกลัวหวั่นไหว นั่นจะทำให้วิญญาณจิตของท่านภาคภูมิใจจริงๆ หรือ
เมื่อคนไทยเราคิดเป็น ต้องให้การสูญเสียของ “วีรบุรุษขาเหล็ก” เป็นคุณค่าต่อคนไทย ให้รู้รักสามัคคี ต้องยิ่งรักกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการป้องกันศัตรูที่มาทำร้ายชาติไทย และเป็นการยกระดับตำรวจไทย ให้มีหัวใจเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ผู้ร่วมรักษาความสันติสุขให้กับราษฎรไทยอย่างแท้จริง
ในเมื่อเราเห็นชัดว่า “ม็อบเสื้อแดงแห่งความรัก...ดีกว่าม็อบแช่งชักหักกระดูก” ก็ขออย่าให้มีม็อบ “ถูกหักหลัง” กันอีกเลยครับ
นิทรรศการจบแล้ว ก็ให้ครอบครัวกลับบ้านเมืองไทยเถอะครับ หรือถ้าต้องอยู่ต่างประเทศเพราะท่านต้องการความรุนแรง ก็ขอให้ท่าน และพรรคของท่าน บอกกับประชาชนอย่างจริงใจดีกว่าไป “หักหลัง” เขาครับ