xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค”สยบม็อบแดง “แม้ว”หนีหางจุกตูด ทัพไพร่ใกล้อวสาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความพ่ายแพ้ของ “ม็อบเสื้อแดง” ที่เป็นไปอย่างหมดรูปนั้น นอกเหนือจากความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่แกนนำนำมาใช้แล้ว คงต้องยอมรับกันว่า ส่วนหนึ่งที่สำคัญเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สามารถช่วงชิงความได้เปรียบเหนือ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ในทุกสมรภูมิ

ทั้งสมรภูมิสื่อ....ทั้งสมรภูมิทหาร และทั้งสมรภูมิประชาชน
บทเรียนจากเหตุการณ์รุนแรงเมื่อครั้งสงกรานต์เลือดปี 52 ทำให้นายอภิสิทธิ์เข้มแข็งและวางแผนใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือจริงๆ สยบม็อบเสื้อแดงเอาไว้ได้

หากย้อนหลังกลับไปดูสถานการณ์ก่อนที่ม็อบเสื้อแดงจะยกพลกันเข้ามานั้น จะเห็นได้ว่า รัฐบาลเร่งเครื่องงานประชาสัมพันธ์อย่างหนักเพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ดิบเถื่อนถ่อยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะประวัติศาสตร์ในช่วงสงกรานต์เลือดยังคงเป็นภาพหลอนที่ติดตราตรึงใจคนกรุงเทพฯและคนไทยได้ดี

...ภาพดิบ เถื่อน ถ่อย จากเหตุการณ์พยายามฆ่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย

...ภาพดิบ เถื่อน ถ่อย จากเหตุการณ์ที่คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง เผารถโดยสารประจำทาง นำรถแท็กซี่ไปปิดกั้นการจราจรจนเป็นอัมพาตทั้งเมือง รวมทั้งภาพที่คนเสื้อแดงขู่ที่จะระเบิดรถแก๊สที่แฟลตดินแดง

ภาพเหล่านี้ คือสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ ดังนั้น ยังไม่ทันที่คนเสื้อแดงจะเข้ามา ภาพลักษณ์ของพวกเขาก็ติดลบไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันในช่วงไล่เลี่ยกัน ก่อนที่ม็อบจะเคลื่อนขบวนออกมา ข่าวเรื่องการใช้เงินใช้ทองจำนวนมหาศาลส่งท่อน้ำเลี้ยงเพื่อให้ขนคนมาทำศึก ข่าวการจับกุมชุดอุปกรณ์เครื่องยิงระเบิด M-79 ทั้งที่อยุธยาและสมุทรปราการจำนวนมหาศาล ก็สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงกันเอง เพราะนั่นเป็นร่องรอยและสัญญาณให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อชีวิตที่พวกเขาอาจได้รับในขณะเข้าร่วมชุมนุม

เศษเงินที่พ่อแม้วโยนให้จึงมิอาจบรรลุเป้าในการขนคนเข้าร่วมชุมนุมได้ เพราะชีวิตใคร ใครก็รัก ไม่เหมือนพ่อแม้วที่พยายามล้างสมองให้คนเสื้อแดงมาตายแทน แต่สั่งให้ลูกเมียบินหนีไปต่างประเทศ

ส่วนการปรับกระบวนยุทธ์ในเรื่องของ “สื่อ” เที่ยวนี้ ช่อง 11 ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลก็ทำได้ดีพอควร โดยเฉพาะการปูพื้นให้คนเห็นถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของการม็อบว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด หากแต่ต้องการทำสงครามเพื่อล้มรัฐบาลเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการสถาปานารัฐไทยใหม่ที่ทำเพื่อ นช.ทักษิณคนเดียว

นอกจากนี้ บทเรียนจากสงกรานต์เลือดและงานการข่าวต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้รัฐบาลประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องว่าถ้า “หน่อมแน้ม” เหมือนที่ผ่านมาไปไม่รอดแน่ ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจประกาศใช้ “พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 8 จังหวัด

สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ การเปิดช่องให้ “ทหาร” เข้ามาช่วย “ตำรวจ” ในการควบคุมฝูงชนได้ เพราะรัฐบาลย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ตำรวจร้อยละ 90 นั้นเป็น “ตำรวจแตงโม” ถ้าปล่อยให้ควบคุมสถานการณ์ตามลำพังหน่วยเดียวอาจทำตัวเป็น “จ่าเฉย” ไม่ตรวจไม่ค้นม็อบคนเสื้อแดงที่อาจแอบพกพาอาวุธเข้ามา หรือถ้าเลวร้ายสุดๆ อาจรู้เห็นเป็นใจให้บุกเข้ามาจับตัวนายอภิสิทธิ์เอาเสียดื้อๆ

ขณะเดียวกันสถานการณ์ที่บีบรัดทำให้ขุนทหารและอำมาตย์มีความจำเป็นที่จะต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในการรับมือศึกใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้าโดยไม่มีการแตกแถว

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ก็ล้วนแล้วแต่ประกาศตัวยืนอยู่เคียงข้างนายอภิสิทธิ์ชัดเจน

รอยเตอร์ระบุชัดว่า “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยที่ได้รับการหนุนหลังจากฝ่ายทหาร จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตคราวนี้ได้”

อย่างไรก็ตาม แม้การใช้กฎหมายจะเป็นไปอย่างเข้มขลัง แต่รัฐบาลก็ฉลาดพอที่จะแสดงให้สังคมไทยและสังคมโลกเห็นว่า รัฐบาลจะไม่สกัดกั้นการชุมนุมเพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามระบอบรัฐธรรมนูญ แถมอำนวยความสะดวกในเรื่องของการเดินทาง การจอดรถ และการสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างดี เพียงแต่จะต้องไม่ใช้ความรุนแรง และถ้าใช้ความรุนแรง รัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังในการควบคุมสถานการณ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามหลักสากลจากเบาไปสู่หนัก

นอกจากนี้ รัฐบาลประกาศชัดเจนว่า ทหารจะไม่ใช้อาวุธสงครามในการควบคุมสถานการณ์ และวิธีการแรงสุดที่จะใช้คือ “แก๊สน้ำตา”

หากยังจำกันได้ ในวันที่ม็อบเสื้อแดงยกขบวนไปกดดันรัฐบาลที่ราบ 11 นั้น “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ(ศอ.รส.) ก็สามารถจัดการม็อบได้ดี มีการส่งเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงด้วยภาษาอีสานให้ข้อมูลในอีกด้านหนึ่งกับผู้ชุมนุม รวมทั้งเปิดเพลงด้วยเครื่องเสียงที่มีประสิทธิภาพสูง จนทำให้คนเสื้อแดงไม่สามารถปราศรัยได้อย่างราบรื่น กระทั่งทำให้นายณัฐวุฒิ ไม่พอใจ พร้อมสั่งนำรถขยายเสียงที่ใช้เป็นเวทีชั่วคราวเข้าไปเผชิญหน้าบริเวณทางเข้า ร.11 รอ. ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลงเมื่อทหารหยุดการกระจายเสียง

อีกหมัดหนึ่งที่เด็ดไม่แพ้กันคือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขออนุมัติหมายศาลเพื่อจับกุมตัว “นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” ในข้อหาทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่ก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ก็เล่นเอาแดงฮาร์ดคอร์อย่างนายอริสมันต์ถึงกับหางจุกตูดวิ่งแจ้นไปอาศัยมวลชนคนเสื้อแดงเป็นเกราะกำบังเพราะกลัวถูกจับไปกินข้าวแดงอยู่ในกรงขัง ไม่สามารถเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกเพื่อสร้างความรุนแรงได้

เช่นเดียวกับแดงฮาร์ดคอร์คนอื่นๆ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจทั้งทหารประกบติดทุกฝีก้าวจนทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด

อย่างไรก็ตาม มาตรการเชิงรุกที่ส่งผลสั่นสะเทือนยิ่งคือ การไล่ล่า นช.ทักษิณให้ไร้แผ่นดินอยู่ และก็ประสบผลสำเร็จเมื่อนานาอารยประเทศให้ความร่วมมืออย่างดี 

        เวลานี้ นช.ทักษิณไม่สามารถเข้าอังกฤษได้

        เวลานี้ นช.ทักษิณไม่สามารถเข้าเยอรมนีได้

กรณีของเยอรมนีนั้น เสมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกหน้าว่า นช.ทักษิณไม่เป็นที่ต้อนรับอีกต่อไป โดยมีคำยืนยันจาก “นายฮันส์ ชูมาร์คเคอร์” เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทยว่า เขาถูกสั่งห้ามจากรัฐบาลเยอรมันไม่ให้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ปี 2552 และหาก นช.ทักษิณเข้ามาก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย และต้องถูกดำเนินคดี

ส่วน “นครดูไบ” สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ นช.ทักษิณใช้เป็นแหล่งกบดานในการป่วนบ้านป่วนเมืองนั้นก็มีคำยืนยันจาก นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า ได้ประสานไปยังสถานทูตและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) แล้ว และได้รับคำตอบจากยูเออีว่าจะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ยูเออีเป็นฐานเคลื่อนไหวทางการเมือง และจะให้กลับเข้ามาที่ยูเออีอีกไม่ได้

สรุปก็คือ เวลานี้ นช.ทักษิณไม่สามารถเข้าประเทศที่เป็น “อารยะประเทศได้” จนต้องระเห็จไปอยู่ที่มอนเตรเนโก พร้อมนั่งจิบกาแฟ กินขนมเค้กร่วมกับผู้ติดตามที่โรงแรมหรูริมทะเล ดูคนเสื้อแดงตากแดดตากฝนสู้เพื่อตัวเอง

แต่ก็คาดว่า เขาคงจะไม่อยู่ที่นั่นนานนักเพราะไม่ได้มีความสะดวกสบายอะไรต่อการดำรงชีวิตเยี่ยงมหาราชาของเขา ดังนั้น นช.ทักษิณคงต้องเร่งควานหาประเทศที่ใช้ซุกหัวนอนใหม่ ส่วนจะเป็นประเทศไหน คงต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอพิสูจน์กันต่อไปว่า ในการทำส่งครามก๊อก 2 ที่ม็อบแดงปรับทัพกันใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์จะมีทีเด็ดทีขาดเพื่อสยบม็อบแดงอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น