ASTVผู้จัดการรายวัน- “สภากาชาดไทย” ปฏิเสธเจาะเลือดให้เสื้อแดง หวังผลการเมือง ชี้ใช้ผิดจุดประสงค์ หากเจาะผิดวิธีถึงขั้นอัมพฤกษ์อัมพาต แถมติดเอดส์-ไวรัสบี ด้าน“ไอ้เต้นหิวเลือด” ประกาศรอสูบคนเสื้อแดง “1 แสนคน 1 ล้านซีซี” ด้าน “ธรรมยาตรา” ร้องรัฐถวายคืนพระราชอำอาจ กำจัดคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหว ด้าน"วิระยา"เลิกแอบโผล่เวทีเสื้อแดง ทำตาหวานให้"วีระ"
เข้าสู่วันที่สามของการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง หลังจากยึดสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ลานพระบรมรูปทรงม้าและรอบถนนราชดำเนินในเพื่อตั้งเวที โดยวานนี้(15 มี.ค.) คนเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนตั้งแต่เวลา 09.00 น.ไปยัง กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน (ร.11รอ.)เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภา โดยคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ใดินทางไปด้วยรถเครื่องขยายเสียง รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ จำนวนมาก ซึ่งมีการปราศัยต่าง ๆก่อนที่สลายตัวในเวลา 14.00 น.หลังจากทราบว่านายอภิสิทธิ์ ประกาศจะไม่ยุบสภา
ก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ ได้ติดตั้งเครื่องเสียงและประกาศทักทายผู้ชุมนุมเป็นภาษาอีสาน และเปิดเพลงพระราชนิพนธ์กับเพลงสยามเมืองยิ้ม เพื่อลดบรรยากาศความตึงเครียด ขณะที่ภายใน ร.11รอ.เจ้าหน้าที่ทหารได้ตึงกำลังรักษาความปลอดภัย ขณะที่เสื้อแดงบางคน พยายามลอบตัดรั้วลวดหนามที่ขึงรอบ ร.11รอ.
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นเฮลิคอร์ปเตอร์ตรวจการจราจรร่วมกับนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม
*ไอ้เต้นหิวเลือด1 แสนคน 1 ล้านซีซี
ช่วงบ่ายวันเดียวกันหน้า ร.11รอ.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศแถลงยกระดับมาตรการต่อสู้และความเข้มข้นในการเรียกร้องของผู้ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ระบุว่า นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จะรวบรวมเลือดจาก 1 แสนคน 1 ล้านซีซี ในวันนี้(16 มี.ค.) เพื่อเทรอบทำเนียบรัฐบาล
“ถ้านายอภิสิทธ์ อยากเป็นายกฯที่คนไม่ยอมรับ ประสงค์จะดำรงอำนาจ จะอยู่ในตำแหน่งโดยไม่สนประชาชน เราจะกลับไปสะพานผ่านฟ้า วันนี้(16 มี.ค.) 08.00น.-17.00 น. จะเริ่มเจาะเลือด 1 แสนคน เททุกประตู ถ้าอยากทำงานก็ก้าวข้ามกองเลือดเหล่านี้ไป ถ้ายังไม่ยุบสภา ล้านซีซีที่สองจะเทนองหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ายังไม่ยุบสภาอีก ล้านซีซีที่สามจะเทเต็มหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ นี่คือการมาตรการต่อสู้โดยสันติของคนเสื้อแดง เราไม่ต้องการสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต หรือการปะทะรุนแรงกับใคร ถ้าบ้านเมืองนี้มิอาจอยู่ภายใต้ประชาธิปไตย ถ้าจะมีเลือดไหลก็ให้เป็นเลือดไพร่ที่ไม่มีเส้นเช่นคนเสื้อแดง ที่หลั่งเลือดทาแผ่นดินเซ่นประชาธิปไตย นายอภิสิทธิ์ต้องยุบสภาเท่านั้น นี่คือการต่อสู้แบบตายเป็นตาย หากครบสามล้านลิตร แล้วยังไม่ยอมยุบสภา รับรองว่าบ้านเมืองนี้จะมีนายกฯแต่เพียงในนาม จะไม่ได้ทำหน้าที่แม้แต่วินาทีเดียว นี่คือการต่อสู้แบบสุดตัวสุดหัวใจ”แกนนำคนนี้กล่าว
*ไอ้กี้ร์ คุยขอหมอ 5 โรงพยาบาลแล้ว
ต่อมานายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำนปช. กล่าวที่เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ อ้างว่า ทหารที่เป็นลูกหลานของคนเสื้อแดงหลายคนกำลังจะมาร่วมกับคนเสื้อแดงเพื่อโค่นล้มอำมาตย์ เราจะเปลี่ยนจาก 1 ล้านคน 1 ล้านลิตร มาเป็น 1 ล้านคน 1 ล้านซีซี ซึ่งนาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กำลังประสานเจ้าหน้าที่เพื่อให้นำเข็ม 1 ล้านเล่ม มาเจาะเลือดพี่น้องคนละ 10 ซีซี เพื่อไปราดทำเนียบ ให้มันรู้ไปว่านายอภิสิทธิ์ จะกล้าข้ามกองเลือดของประชาชนเข้าไปทำงาน ถ้าใช่ก็ไม่ใช่คนแล้ว
“ก่อนที่เราจะถูกสลายไม่ว่าจะวิธีใดก็ตามโลกจะได้รู้ว่าคนเสื้อแดงพร้อมสละเลือดได้ตลอดเวลา เราต้องสละเลือดเพื่อประชาธิปไตย เพื่อแลกกับการลาออกหรือยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ และขอให้คนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนออกมาแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยการสลายหรือการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน อย่าหวาดกลัววันนี้ต้องแสดงความกล้ายืนหยัดต่อสู้ร่วมกับประชาชน ทั้งนี้ขอให้ฟังข่าวจากเวทีกลางข่าวจะออกจากที่นี่เท่านั้น พี่น้องอย่าไปฟังข่าวลือใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ในการบริจาคเลือดจะใช้ขอความร่วมมือจาก 5 โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ 20-30 คนมาช่วยเลือดให้”
*โหวงเหวง ประกาศกรีดเลือดคนแรก
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำอีกคน กล่าวว่า ตนจะเป็นคนแรกที่บริจาค เพื่อตามมติการยกระดับการต่อสู้ ซึ่งกระบวนการเจาะเลือดจะเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานผู้ที่สามารถเจาะเลือดได้ ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ห้องเทคนิคในโรงพยาบาล จำนวน 500 คนมาเจาะเลือดผู้ชุมนุม ทั้งนี้เลือด 10 ซีซีถือว่าเป็นปริมาณน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เปรียบเทียบ “ได้กับคนเดินเตะไม้แล้วนิ้วก้อยฉีก” จะเสียเลือดประมาณ 10 ซีซี อย่างไรก็ตามในวันนี้คนที่จะเจาะเลือดนั้นเราจะให้นอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมง รับประทานอาหารให้เต็มที่ และจะเจาะเลือดเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปีส่วนแก่มากๆ ก็ไม่เอาเช่นเดียวกัน สำหรับขั้นตอนการเจาะเลือดนั้นจะเป็นวิธีการเดียวกับที่โรงพยาบาลทุกอย่าง โดยสลิงที่ใช้เจาะจะใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
“ส่วนที่เป็นห่วงเรื่องเชื้อเอชไอวีนั้นตามหลักสากลแล้วผู้ที่เจาะเลือดหรือใครก็ตามจะไม่มีสิทธิถามว่าใครติดเชื้อหรือไม่ ดังนั้นผู้ที่ทำการเจาะเลือดจะต้องคาดการณ์ในด้านที่เลวร้ายที่สุดเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเต็มที่ เมื่อเจาะเลือดแล้วจะไปใส่รวมกันในแกลลอนไม่มีการนำไปใช้ต่อและเชื้อเอชไอวีนั้นอยู่ในอากาศไม่กี่ชั่วโมงเชื้อตายแล้ว ดังนั้นจะไม่มีการติดต่ออย่างแน่นอน”
*เด็กปชป.เย้ยระวังเอดส์-ไวรัสบี
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การเจาะเลือดเป็นการใช้ความรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ประกาศมาตลอดว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ที่สำคัญการเจาะเลือดจะต้องใช้ผู้ชำนาญการ ทั้งแพทย์และพยาบาล ไม่เช่นนั้นมีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคสำคัญ 2 โรค 1. โรคไวรัสตับอักเสบบี และ 2. โรคเอดส์ ทั้งนี้การเทเลือดยังเสี่ยงทำให้เกิดโรคระบาดด้วย เพราะแม้แต่ในโรงพยาบาลเอง หากเลือดหยดสัก 1-2 หยด ยังต้องใช้ยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาด
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงต่อสุขภาพผู้ชุมนุม โดยระบุว่า จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งชี้แจงทำความเข้าใจ และหากจะดำเนินการจริง จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลผู้ชุมนุม
*กาชาดปฎิเสธเจาะเลือดให้“ม็อบแดง”
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ จรุงเรืองฤทธิ์ รองผู้อำนวยการสภากาชาดไทย กล่าวว่า การบริจาคเลือด 1 คนจะสามารถให้เลือดได้สูงสุด 450 ซีซี โดยตามเกณฑ์ผู้บริจาคจะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และที่สำคัญอุปกรณ์ที่ใช้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อ และไม่ใช้ซ้ำ ทั้งนี้ เป็นห่วงการให้เลือดในขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อ่อนเพลียจากการชุมนุมรวมทั้งอากาศร้อน พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เกร็ดเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดโรคฮีโมฟีเลียหรืออาการเลือดไหลไม่หยุดขึ้นได้ ซึ่งผู้เจาะต้องมีความรู้ด้านกายวิภาคเพื่อแยกแยะระหว่างเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นประสาท หากเจาะผิดก็ทำให้เกิดอันตรายได้ และหากไม่มีการฆ่าเชื้อที่ดีก็ทำให้ติดเชื้อสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมประสานมายังสภากาชาดก็คงไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะเป็นการเจาะเลือดที่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
“การเจาะเลือดจำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความชำนาญ ปกติจะเจาะบริเวณข้อพับแขนด้านหน้า ซึ่งมีเส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง และเส้นประสาทอยู่เรียงกัน หากไม่ใช่ผู้ชำนาญการแล้ว อาจจะเจาะผิดเส้น หากเจาะไปโดนเส้นเลือดแดง เลือดก็จะไหลไม่หยุด หากเจาะไปโดนเส้นประสาทก็จะรู้สึกชา หรือแม้กระทั่งเส้นประสาทเสียหายได้ อาจทำให้เกิดอาการช็อก แขนขาชา บางครั้งการเจาะที่ไม่เชี่ยวชาญอาจไปถูกเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ๆ และทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง จะทำให้หมดสติได้” นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าว
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องไม่ให้นำเลือดไปใช้ในสัญลักษณ์ทางการเมือง เพราะการบริจาคเลือดเป็นเรื่องของบุญกุศล อยากให้ต่อสู้ด้วยวิธีทางอื่นดีกว่า เพราะจะเป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมเองด้วย หากเจาะแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ควรทำ
*เตือนเสี่ยงติดเอดส์-ไวรัสตับ
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนการนำเลือดไปเทที่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาลนั้น รอง ผอ.ศูนย์บริการโลหิตฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวลเพราะทางการแพทย์ เมื่อเลือดหรือแม้กระทั่งของเหลวและสารคัดหลั่งอื่นๆ ถูกเจาะออกมาจากร่างกายจะถือว่าเป็นวัสดุติดเชื้อ เวลาทิ้งจะต้องใส่ถุงเฉพาะและทิ้งในถังขยะติดเชื้อเท่านั้น ไม่สามารถนำไปทิ้งที่อื่นได้ หากระบบการกำจัดวัสดุติดเชื้อจำพวกเลือดและสารคัดหลั่งของโรงพยาบาลใดไม่จัดระบบการทิ้งให้เป็นไปตามนี้ ก็จะถือว่าผิดมาตรฐานโรงพยาบาลในการกำจัดวัสดุติดเชื้อ
“หากนำเลือดมาเทจริง เลือดเหล่านี้ก็มีสิทธิแพร่กระจายเชื้อโรคได้ หากเจาะมาจากคนที่เป็นเอชไอวี ตับอับเสบชนิดบีและชนิดซี หากคนที่นำไปเท หรือคนที่เดินผ่านไปผ่านมาสัมผัสเลือดเหล่านั้นในขณะที่มีบาดแผล ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และปัญหาที่ตามมาคือการทิ้งเข็มเจาะเลือดถึง100,000 อันที่จะเป็นภาระของกทม.ที่จะต้องมาเก็บขยะภายหลัง โดยเข็มเหล่าหากไม่เก็บทิ้งตามมาตรฐานของโรงพยาบาล แต่ทิ้งลงถังขยะทั่วไป ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่มาเก็บขยะด้วย”นาวาโท พญ.อุบลวัณณ์
ด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเจาะเลือดจำเป็นต้องระวังเรื่องการติดเชื้อ และโรคติดต่อ โดยเฉพาะเอดส์ และไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง เพราะทำให้เกิดอันตรายและอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพผู้ร่วมชุนนุมด้วยกัน เพราะในอากาศร้อนสามารถทำให้ช็อกได้ เนื่องจากร่างกายเสียน้ำมากอยู่แล้ว
“รู้สึกตกใจ เสียใจที่มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นในสังคม หากจะชุมนุมเพื่อทำให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง หรือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ก็ควรคิดสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าการกระทำที่ถอยหลังลงคลอง ไม่เป็นผลดีทั้งในส่วนผู้เข้าร่วมชุมนุมและภาพพจน์ของการชุมนุมเอง น่าจะใช้แนวทางที่สร้างสรรค์กว่านี้ เพราะทำให้เกิดอันตราย เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อันตรายร้ายแรง”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว
* เล็งฟันจริยธรรมแพทย์“หมอเหวง”
นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า การที่ผู้ชุมนุมจะมีการเจาะเลือดนั้น เชื่อว่าผู้ที่ดำเนินการเจาะเลือดไม่ใช่แพทย์ เนื่องจากหากเจาะคนเป็นแสนคนต้องใช้แพทย์เป็นร้อยคน ซึ่งที่ชุมนุมคงไม่มีเพียงพอที่จะดำเนินการได้ ผู้ที่จะน่าจะเป็นผู้ช่วยพยาบาลหรือเทคนิคทางการแพทย์แต่ปัญหาคือ หากแพทย์เป็นผู้ดำเนินการจริงการจะเอาผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนต่อกรณีดังกล่าว อีกทั้งผู้ที่ถูกเจาะก็สมัครใจและไม่มีการฟ้องร้องเอาผิดแพทย์ การดำเนินการเพื่อเอาผิดแพทย์ก็ยากไปด้วย
“คนเจาะจริงๆ ไม่ใช่หมอ ถ้าหมอเจาะถือว่าไม่เหมาะสมเพราะไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ในการนำเลือดไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่วนจะมีความผิดหรือไม่นั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหากมีการร้องเรียนหรือเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็จะต้องนำเรื่องเอาสู่คณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภาพิจารณาซึ่งถือเป็นดุลยวินิจของกรรมการฯ ส่วนการจะดำเนินการใดๆ กับ นพ.เหวง โตจิราการ หรือไม่คงต้องมีหลักฐานประจักษ์ว่ามีการเจาะเลือดจริง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี”นพ.สัมพันธ์กล่าว
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พ.ญ.วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาพยาบาล กล่าวว่า หากพยาบาลมีการเจาะเลือดโดยผิดหลักวิชาชีพก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการเจาะเลือดจะต้องเจาะเพื่อนำไปวินิจฉัยหรือเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ แต่กรณีดังกล่าวหากไม่ใช่อาจเข้าข่ายผิดและผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายได้เนื่องจากไม่มีความมั่นใจว่าวัสดุอุปกรณ์มีความปลอดภัยหรือไม่
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวหากพบมีพยาบาลเกี่ยวข้องจะต้องมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสภาการพยาบาลว่าผิดพ.ร.บ.วิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ส่วนโทษจะมีการพิจารณาเป็นรายกรณีไป ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ
*สธ.ยกระดับเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสธ. ว่า ได้หารือถึงแนวทางในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ โดยจะมีการยกระดับการปฏิบัติการอยู่ในขั้นสูงสุดคือระดับ3 เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และ
สาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ(ศอ.รส.) สำหรับแผนในระดับ 3 จะส่งผลให้ศูนย์ปฏิบัติการฯ สามารถขอความร่วมมือจากสถานพยาบาลทุกแห่ง รวมทั้งศูนย์ปฏิบัติการฯในระดับจังหวัด 79 ศูนย์ ใน 75 จังหวัด ได้ทันทีหากเกิดกรณีฉุกเฉิน
*ธรรมยาตรา ร้องรัฐคืนพระราชอำนาจ
ขณะที่กลุ่มธรรมยาตรา จำนวน 10 คน เดินทางยังหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้นายกฯ เสนอพระราชกฤษฎีกาถวายคืนอำนาจให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอำนาจคืนให้กับปวงชนชาวไทย เพราะเห็นว่าปัญหาขณะนี้ต้องเร่งแก้ไขก่อนเกิดสภากลียุค เพราะขณะนี้คอมมิวนิสต์กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนัก อีกทั้งแนวทางการแก้ปัญหาด้วยการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา
*บช.น.ย้ำคลิปนายกฯตัดต่อ 100%
อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดูแลงานสอบสวน กล่าวเตือนแกนนำผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่า อย่าได้พูดจายั่วยุปลุกปั่นปลุกระดม หรือใช้คำพูดที่เป็นเท็จในการให้ข้อมูลข่าวสาร ตั้งแต่มีการชุมนุมในวันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นมา พบว่าเมื่อวันที่ 14 มี.ค.มีการพูดจาหมิ่นประมาทผู้อื่น และยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย จึงขอเตือนผู้ปราศรัยทั้งเวทีเล็กหรือใหญ่ว่า ขอให้พูดจาภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันพบว่ามีความผิดส่วนตัวที่หมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้รวบรวมข้อมูล ทั้งภาพและเสียงทั้งหมดแล้ว และจะดำเนินคดีในภายหลัง
“สำหรับเทปเสียงของนายกฯที่มีการนำมาเปิดในเวทีปราศรัยนั้น มีการพิสูจน์แล้วยืนยันว่าเป็นการตัดต่อ แต่ก็ยังนำมาพูดบนเวที ถือว่ามีความผิดฐานใส่ความผู้อื่น ซึ่งหลังจากการชุมนุมเสร็จสิ้นจะทำหนังสือรวมรวมหลักฐานให้ทั้งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ และบุคคลอื่นๆ ว่าจะดำเนินคดีในเรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาทส่วนตัวหรือไม่ ส่วนการทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับอาญาแผ่นดินนั้น หากพบทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีไป ครั้งที่แล้วก็มีการดำเนินคดีย้อนหลังกลับกลุ่มนปช.ไปกว่า 14 รายด้วยกัน สำหรับสัญญาการประกันตัวนั้น แกนนำส่วนใหญ่หมดสัญญาการประกันตัว 6 เดือนไปแล้ว เพราะเหตุเกิดตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว เหลือเพียงที่ศาลพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งต้องประสานตรวจสอบกับ บช.ภ.2 ก่อนนำเสอนต่อศาลอีกครั้ง สำหรับการพูดจาให้เกิดความหวาดกลัว
*ท้านายกฯสาบาน 7 วันตาย
อีกด้านนายจตุพร แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ขู่จะฟ้องตน เพราะเป็นการตัดต่อเสียงนั้น ขอท้าให้ฟ้องเลย เพราะตนยืนยันว่า เป็นเสียงที่นายอภิสิทธิ์เป็นคนพูด หากนายอภิสิทธิ์ปฏิเสธ ขอให้ไปจุดธูปสามดอกสาบานที่วัดพระแก้ว ตามแนวทางของประชาชนที่เชื่อกัน หากเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์ จริง ขอให้มีอันเป็นไปใน 3-7 วัน แต่หากไม่ใช่ขอให้ตนมีอันเป็นไปใน 3-7 วันเช่นกัน
*การ์ดรวบเสื้อแดงป่วนเวทีปราศรัย
สำหรับบรรยากาศการผู้ชุมนุมช่วงเช้าที่สะาพนผ่านฟ้าฯ มีรายงานว่า มีผู้ชุมนุมเป็นชายวัยกลางคนรายหนึ่ง มีอาการคลุ้มคลั่ง สวมกางเกงขายาวสีเทาเพียงตัวเดียวเต้นรำไปรอบๆ เวทีชุมนุม ซึ่งการ์ดเสื้อแดงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปห้าม แต่กลับถูกชายดังกล่าวชก 1 หมัด จึงทำให้ถูกรวบตัวมาสงบสติอารมณ์ที่ด้านหลังเวที หลังการสอบสวนทราบว่าชายดังกล่าว ชื่อนายบุญส่ง ดอหล้า อายุ 42 ปี เป็นชาวขอนแก่น มีอาการมึนเมา เพราะได้ดื่มสุราไปหลังจากที่เจ้าหน้าที่ให้ดื่มน้ำ และสงบสติอารมณ์แล้ว การ์ด นปช.จึงได้ปล่อยตัวให้กลับที่พักต่อไป
*แดงผวา ไฟลุกใต้สะพานผ่านฟ้าฯ
ช่วงเย็นได้เกิดกลุ่มควันไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นที่ใต้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกตื่น โดยการ์ด นปช. คาดว่าสาเหตุเกิดจากไฟไหม้สายไฟใต้สะพานดังกล่าว
จากการสอบถามประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ แจ้งว่า พื้นที่ใต้สะพานจะมีคนจรจัดอาศัยอยู่ และมีเด็กผู้ชายอายุประมาณ 14-15 ใส่เสื้อสีแดงได้เดินเข้าไปที่บริเวณดังกล่าวพร้อมจุดไฟแล้ววิ่งออกมา ทำให้การ์ดนปช.วิ่งตาม แต่ก็ไม่สามารถจับตัวได้ ทำให้ไฟลุกโหมไหม้อย่างรวดเร็ว จากการตรวจสอบพบว่าไฟลุกไหม้สายเคเบิ้ลที่เป็นยางทำให้การดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ประกอบกับพื้นที่แคบและควันไฟมีจำนวนมากทำให้ไม่สามารถดับไฟได้ทันที ซึ่งใช้เวลาในการดับไฟประมาณ 20 นาทีจนเพลิงสงบ
**"วิระยา"โผล่เวทีเสื้อแดง ***
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 24.00 น.คืนวันที่ 14 มี.ค. ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล กรรมการมูลนิธิสายใจไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่เวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงให้การต้อนรับ โดยใช้เวลาไม่นานก็เดินทางกลับจากนั้น นายวีระได้เปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ท่านผู้หญิงวิระยาประกาศตัวเป็นเสื้อแดง สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ นปช. มานานแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาที่ชุมนุมด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้มีการโทรศัพท์สอบถามกันเป็นระยะ โดยท่านประสงค์จะช่วยเหลือค่าอาหาร แต่ไม่เปิดเผยจำนวนเงิน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มีแต่ไพร่ แต่มีหลากหลายชนชั้น
*บีทีเอส-รถไฟใต้ดินเพิ่มความถี่
นายอาณัติ อาภาภิรมย์ ทีปรึกษาและกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือบีทีเอส กล่าวว่า บีทีเอสได้เพิ่มความถี่ของการเดินรถไฟฟ้าทุก 2.30 นาที ในชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนเนื่องจากการจราจรบนถนนมีปัญหา
ด้านนายชูเกียรติ โพธยานุวัตร ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวถึง การดูแลรักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าใต้ดิน ว่า ได้เข้มงวดการตรวจตราสถานีที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก เช่น สถานีบางซื่อ และสถานีหัวลำโพง ขณะเดียวกัน รฟม.ได้นำรถไฟฟ้ที่มีทั้งหมด 19 ขบวน ออกมาวิ่งให้บิการเต็มที่ โดยเพิ่มความถี่ในการปล่อยรถทุก 3 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน
*ทอท.ยันทุกสนามบินเปิดปกติ
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. กล่าวว่า ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของทอท.ทั้ง สุวรรณภูมิ,ดอนเมือง เชียงใหม่,หาดใหญ่,ภูเก็ต ,เชียงราย ยังคงให้บริการผู้โดยสารตามปกติ สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางผ่านเส้นทางที่มีการชมนุม ควรตรวจสอบการจราจรล่วงหน้า รวมทั้งเผื่อเวลาในการเดินทาง ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องออก
*การบินไทยปิดสำนักงานหลานหลวงต่อ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สั่งปิดให้บริการที่สำนักงานการบินไทยสาขาหลานหลวงต่อไปอีกจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ โดยงานขายบัตรโดยสารสาขาหลานหลวง จะย้ายมาให้บริการที่สำนักงานใหญ่เป็นการชั่วคราว ในเวลาทำการ
*แดงชม-ชร.-ลำปางโหรงเหรง
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า โดยรอบศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยทำการปิดทางเข้าออกทั้งหมดทุกด้านให้เหลือเพียงช่องทางเข้าออกเดียวขณะที่บริเวณอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงมีการวางรั้วลวดหนามและแท่งคอนกรีตไว้โดยรอบ
ที่จ.เชียงรายแจ้งว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เหลืออยู่ในพื้นที่เพียงไม่กี่คน เพราะส่วนใหญ่เดินทางไปร่วมการชุมนุมที่กรุงเทพฯหมดแล้ว
ขณะที่ที่ศูนย์ราชการศาลากลางจังหวัดลำปาง กำลังเจ้าหน้าที่ อส.ได้เข้าทำหน้าที่ในการตรวจบัตรประจำตัวของผู้ที่มาติดต่อราชการเช่นเดียวกับอีก 2 จังหวัด
ส่วนรอบศาลากลางจังหวัดขอนแก่นก็มีการสนธิกำลังหน่วยควบคุมฝูงชนเช่นกัน
เข้าสู่วันที่สามของการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง หลังจากยึดสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ลานพระบรมรูปทรงม้าและรอบถนนราชดำเนินในเพื่อตั้งเวที โดยวานนี้(15 มี.ค.) คนเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนตั้งแต่เวลา 09.00 น.ไปยัง กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน (ร.11รอ.)เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภา โดยคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ใดินทางไปด้วยรถเครื่องขยายเสียง รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ จำนวนมาก ซึ่งมีการปราศัยต่าง ๆก่อนที่สลายตัวในเวลา 14.00 น.หลังจากทราบว่านายอภิสิทธิ์ ประกาศจะไม่ยุบสภา
ก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ ได้ติดตั้งเครื่องเสียงและประกาศทักทายผู้ชุมนุมเป็นภาษาอีสาน และเปิดเพลงพระราชนิพนธ์กับเพลงสยามเมืองยิ้ม เพื่อลดบรรยากาศความตึงเครียด ขณะที่ภายใน ร.11รอ.เจ้าหน้าที่ทหารได้ตึงกำลังรักษาความปลอดภัย ขณะที่เสื้อแดงบางคน พยายามลอบตัดรั้วลวดหนามที่ขึงรอบ ร.11รอ.
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นเฮลิคอร์ปเตอร์ตรวจการจราจรร่วมกับนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม
*ไอ้เต้นหิวเลือด1 แสนคน 1 ล้านซีซี
ช่วงบ่ายวันเดียวกันหน้า ร.11รอ.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศแถลงยกระดับมาตรการต่อสู้และความเข้มข้นในการเรียกร้องของผู้ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ระบุว่า นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จะรวบรวมเลือดจาก 1 แสนคน 1 ล้านซีซี ในวันนี้(16 มี.ค.) เพื่อเทรอบทำเนียบรัฐบาล
“ถ้านายอภิสิทธ์ อยากเป็นายกฯที่คนไม่ยอมรับ ประสงค์จะดำรงอำนาจ จะอยู่ในตำแหน่งโดยไม่สนประชาชน เราจะกลับไปสะพานผ่านฟ้า วันนี้(16 มี.ค.) 08.00น.-17.00 น. จะเริ่มเจาะเลือด 1 แสนคน เททุกประตู ถ้าอยากทำงานก็ก้าวข้ามกองเลือดเหล่านี้ไป ถ้ายังไม่ยุบสภา ล้านซีซีที่สองจะเทนองหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ายังไม่ยุบสภาอีก ล้านซีซีที่สามจะเทเต็มหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ นี่คือการมาตรการต่อสู้โดยสันติของคนเสื้อแดง เราไม่ต้องการสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต หรือการปะทะรุนแรงกับใคร ถ้าบ้านเมืองนี้มิอาจอยู่ภายใต้ประชาธิปไตย ถ้าจะมีเลือดไหลก็ให้เป็นเลือดไพร่ที่ไม่มีเส้นเช่นคนเสื้อแดง ที่หลั่งเลือดทาแผ่นดินเซ่นประชาธิปไตย นายอภิสิทธิ์ต้องยุบสภาเท่านั้น นี่คือการต่อสู้แบบตายเป็นตาย หากครบสามล้านลิตร แล้วยังไม่ยอมยุบสภา รับรองว่าบ้านเมืองนี้จะมีนายกฯแต่เพียงในนาม จะไม่ได้ทำหน้าที่แม้แต่วินาทีเดียว นี่คือการต่อสู้แบบสุดตัวสุดหัวใจ”แกนนำคนนี้กล่าว
*ไอ้กี้ร์ คุยขอหมอ 5 โรงพยาบาลแล้ว
ต่อมานายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำนปช. กล่าวที่เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ อ้างว่า ทหารที่เป็นลูกหลานของคนเสื้อแดงหลายคนกำลังจะมาร่วมกับคนเสื้อแดงเพื่อโค่นล้มอำมาตย์ เราจะเปลี่ยนจาก 1 ล้านคน 1 ล้านลิตร มาเป็น 1 ล้านคน 1 ล้านซีซี ซึ่งนาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กำลังประสานเจ้าหน้าที่เพื่อให้นำเข็ม 1 ล้านเล่ม มาเจาะเลือดพี่น้องคนละ 10 ซีซี เพื่อไปราดทำเนียบ ให้มันรู้ไปว่านายอภิสิทธิ์ จะกล้าข้ามกองเลือดของประชาชนเข้าไปทำงาน ถ้าใช่ก็ไม่ใช่คนแล้ว
“ก่อนที่เราจะถูกสลายไม่ว่าจะวิธีใดก็ตามโลกจะได้รู้ว่าคนเสื้อแดงพร้อมสละเลือดได้ตลอดเวลา เราต้องสละเลือดเพื่อประชาธิปไตย เพื่อแลกกับการลาออกหรือยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ และขอให้คนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนออกมาแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยการสลายหรือการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน อย่าหวาดกลัววันนี้ต้องแสดงความกล้ายืนหยัดต่อสู้ร่วมกับประชาชน ทั้งนี้ขอให้ฟังข่าวจากเวทีกลางข่าวจะออกจากที่นี่เท่านั้น พี่น้องอย่าไปฟังข่าวลือใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ในการบริจาคเลือดจะใช้ขอความร่วมมือจาก 5 โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ 20-30 คนมาช่วยเลือดให้”
*โหวงเหวง ประกาศกรีดเลือดคนแรก
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำอีกคน กล่าวว่า ตนจะเป็นคนแรกที่บริจาค เพื่อตามมติการยกระดับการต่อสู้ ซึ่งกระบวนการเจาะเลือดจะเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานผู้ที่สามารถเจาะเลือดได้ ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ห้องเทคนิคในโรงพยาบาล จำนวน 500 คนมาเจาะเลือดผู้ชุมนุม ทั้งนี้เลือด 10 ซีซีถือว่าเป็นปริมาณน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เปรียบเทียบ “ได้กับคนเดินเตะไม้แล้วนิ้วก้อยฉีก” จะเสียเลือดประมาณ 10 ซีซี อย่างไรก็ตามในวันนี้คนที่จะเจาะเลือดนั้นเราจะให้นอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมง รับประทานอาหารให้เต็มที่ และจะเจาะเลือดเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปีส่วนแก่มากๆ ก็ไม่เอาเช่นเดียวกัน สำหรับขั้นตอนการเจาะเลือดนั้นจะเป็นวิธีการเดียวกับที่โรงพยาบาลทุกอย่าง โดยสลิงที่ใช้เจาะจะใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
“ส่วนที่เป็นห่วงเรื่องเชื้อเอชไอวีนั้นตามหลักสากลแล้วผู้ที่เจาะเลือดหรือใครก็ตามจะไม่มีสิทธิถามว่าใครติดเชื้อหรือไม่ ดังนั้นผู้ที่ทำการเจาะเลือดจะต้องคาดการณ์ในด้านที่เลวร้ายที่สุดเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเต็มที่ เมื่อเจาะเลือดแล้วจะไปใส่รวมกันในแกลลอนไม่มีการนำไปใช้ต่อและเชื้อเอชไอวีนั้นอยู่ในอากาศไม่กี่ชั่วโมงเชื้อตายแล้ว ดังนั้นจะไม่มีการติดต่ออย่างแน่นอน”
*เด็กปชป.เย้ยระวังเอดส์-ไวรัสบี
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การเจาะเลือดเป็นการใช้ความรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ประกาศมาตลอดว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ที่สำคัญการเจาะเลือดจะต้องใช้ผู้ชำนาญการ ทั้งแพทย์และพยาบาล ไม่เช่นนั้นมีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคสำคัญ 2 โรค 1. โรคไวรัสตับอักเสบบี และ 2. โรคเอดส์ ทั้งนี้การเทเลือดยังเสี่ยงทำให้เกิดโรคระบาดด้วย เพราะแม้แต่ในโรงพยาบาลเอง หากเลือดหยดสัก 1-2 หยด ยังต้องใช้ยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาด
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงต่อสุขภาพผู้ชุมนุม โดยระบุว่า จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งชี้แจงทำความเข้าใจ และหากจะดำเนินการจริง จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลผู้ชุมนุม
*กาชาดปฎิเสธเจาะเลือดให้“ม็อบแดง”
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ จรุงเรืองฤทธิ์ รองผู้อำนวยการสภากาชาดไทย กล่าวว่า การบริจาคเลือด 1 คนจะสามารถให้เลือดได้สูงสุด 450 ซีซี โดยตามเกณฑ์ผู้บริจาคจะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และที่สำคัญอุปกรณ์ที่ใช้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อ และไม่ใช้ซ้ำ ทั้งนี้ เป็นห่วงการให้เลือดในขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อ่อนเพลียจากการชุมนุมรวมทั้งอากาศร้อน พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เกร็ดเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดโรคฮีโมฟีเลียหรืออาการเลือดไหลไม่หยุดขึ้นได้ ซึ่งผู้เจาะต้องมีความรู้ด้านกายวิภาคเพื่อแยกแยะระหว่างเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นประสาท หากเจาะผิดก็ทำให้เกิดอันตรายได้ และหากไม่มีการฆ่าเชื้อที่ดีก็ทำให้ติดเชื้อสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมประสานมายังสภากาชาดก็คงไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะเป็นการเจาะเลือดที่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
“การเจาะเลือดจำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความชำนาญ ปกติจะเจาะบริเวณข้อพับแขนด้านหน้า ซึ่งมีเส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง และเส้นประสาทอยู่เรียงกัน หากไม่ใช่ผู้ชำนาญการแล้ว อาจจะเจาะผิดเส้น หากเจาะไปโดนเส้นเลือดแดง เลือดก็จะไหลไม่หยุด หากเจาะไปโดนเส้นประสาทก็จะรู้สึกชา หรือแม้กระทั่งเส้นประสาทเสียหายได้ อาจทำให้เกิดอาการช็อก แขนขาชา บางครั้งการเจาะที่ไม่เชี่ยวชาญอาจไปถูกเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ๆ และทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง จะทำให้หมดสติได้” นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าว
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องไม่ให้นำเลือดไปใช้ในสัญลักษณ์ทางการเมือง เพราะการบริจาคเลือดเป็นเรื่องของบุญกุศล อยากให้ต่อสู้ด้วยวิธีทางอื่นดีกว่า เพราะจะเป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมเองด้วย หากเจาะแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ควรทำ
*เตือนเสี่ยงติดเอดส์-ไวรัสตับ
นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนการนำเลือดไปเทที่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาลนั้น รอง ผอ.ศูนย์บริการโลหิตฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวลเพราะทางการแพทย์ เมื่อเลือดหรือแม้กระทั่งของเหลวและสารคัดหลั่งอื่นๆ ถูกเจาะออกมาจากร่างกายจะถือว่าเป็นวัสดุติดเชื้อ เวลาทิ้งจะต้องใส่ถุงเฉพาะและทิ้งในถังขยะติดเชื้อเท่านั้น ไม่สามารถนำไปทิ้งที่อื่นได้ หากระบบการกำจัดวัสดุติดเชื้อจำพวกเลือดและสารคัดหลั่งของโรงพยาบาลใดไม่จัดระบบการทิ้งให้เป็นไปตามนี้ ก็จะถือว่าผิดมาตรฐานโรงพยาบาลในการกำจัดวัสดุติดเชื้อ
“หากนำเลือดมาเทจริง เลือดเหล่านี้ก็มีสิทธิแพร่กระจายเชื้อโรคได้ หากเจาะมาจากคนที่เป็นเอชไอวี ตับอับเสบชนิดบีและชนิดซี หากคนที่นำไปเท หรือคนที่เดินผ่านไปผ่านมาสัมผัสเลือดเหล่านั้นในขณะที่มีบาดแผล ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และปัญหาที่ตามมาคือการทิ้งเข็มเจาะเลือดถึง100,000 อันที่จะเป็นภาระของกทม.ที่จะต้องมาเก็บขยะภายหลัง โดยเข็มเหล่าหากไม่เก็บทิ้งตามมาตรฐานของโรงพยาบาล แต่ทิ้งลงถังขยะทั่วไป ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่มาเก็บขยะด้วย”นาวาโท พญ.อุบลวัณณ์
ด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเจาะเลือดจำเป็นต้องระวังเรื่องการติดเชื้อ และโรคติดต่อ โดยเฉพาะเอดส์ และไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง เพราะทำให้เกิดอันตรายและอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพผู้ร่วมชุนนุมด้วยกัน เพราะในอากาศร้อนสามารถทำให้ช็อกได้ เนื่องจากร่างกายเสียน้ำมากอยู่แล้ว
“รู้สึกตกใจ เสียใจที่มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นในสังคม หากจะชุมนุมเพื่อทำให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง หรือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ก็ควรคิดสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าการกระทำที่ถอยหลังลงคลอง ไม่เป็นผลดีทั้งในส่วนผู้เข้าร่วมชุมนุมและภาพพจน์ของการชุมนุมเอง น่าจะใช้แนวทางที่สร้างสรรค์กว่านี้ เพราะทำให้เกิดอันตราย เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อันตรายร้ายแรง”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว
* เล็งฟันจริยธรรมแพทย์“หมอเหวง”
นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า การที่ผู้ชุมนุมจะมีการเจาะเลือดนั้น เชื่อว่าผู้ที่ดำเนินการเจาะเลือดไม่ใช่แพทย์ เนื่องจากหากเจาะคนเป็นแสนคนต้องใช้แพทย์เป็นร้อยคน ซึ่งที่ชุมนุมคงไม่มีเพียงพอที่จะดำเนินการได้ ผู้ที่จะน่าจะเป็นผู้ช่วยพยาบาลหรือเทคนิคทางการแพทย์แต่ปัญหาคือ หากแพทย์เป็นผู้ดำเนินการจริงการจะเอาผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนต่อกรณีดังกล่าว อีกทั้งผู้ที่ถูกเจาะก็สมัครใจและไม่มีการฟ้องร้องเอาผิดแพทย์ การดำเนินการเพื่อเอาผิดแพทย์ก็ยากไปด้วย
“คนเจาะจริงๆ ไม่ใช่หมอ ถ้าหมอเจาะถือว่าไม่เหมาะสมเพราะไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ในการนำเลือดไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่วนจะมีความผิดหรือไม่นั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหากมีการร้องเรียนหรือเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็จะต้องนำเรื่องเอาสู่คณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภาพิจารณาซึ่งถือเป็นดุลยวินิจของกรรมการฯ ส่วนการจะดำเนินการใดๆ กับ นพ.เหวง โตจิราการ หรือไม่คงต้องมีหลักฐานประจักษ์ว่ามีการเจาะเลือดจริง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี”นพ.สัมพันธ์กล่าว
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พ.ญ.วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาพยาบาล กล่าวว่า หากพยาบาลมีการเจาะเลือดโดยผิดหลักวิชาชีพก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการเจาะเลือดจะต้องเจาะเพื่อนำไปวินิจฉัยหรือเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ แต่กรณีดังกล่าวหากไม่ใช่อาจเข้าข่ายผิดและผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายได้เนื่องจากไม่มีความมั่นใจว่าวัสดุอุปกรณ์มีความปลอดภัยหรือไม่
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวหากพบมีพยาบาลเกี่ยวข้องจะต้องมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสภาการพยาบาลว่าผิดพ.ร.บ.วิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ส่วนโทษจะมีการพิจารณาเป็นรายกรณีไป ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ
*สธ.ยกระดับเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสธ. ว่า ได้หารือถึงแนวทางในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ โดยจะมีการยกระดับการปฏิบัติการอยู่ในขั้นสูงสุดคือระดับ3 เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และ
สาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ(ศอ.รส.) สำหรับแผนในระดับ 3 จะส่งผลให้ศูนย์ปฏิบัติการฯ สามารถขอความร่วมมือจากสถานพยาบาลทุกแห่ง รวมทั้งศูนย์ปฏิบัติการฯในระดับจังหวัด 79 ศูนย์ ใน 75 จังหวัด ได้ทันทีหากเกิดกรณีฉุกเฉิน
*ธรรมยาตรา ร้องรัฐคืนพระราชอำนาจ
ขณะที่กลุ่มธรรมยาตรา จำนวน 10 คน เดินทางยังหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้นายกฯ เสนอพระราชกฤษฎีกาถวายคืนอำนาจให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอำนาจคืนให้กับปวงชนชาวไทย เพราะเห็นว่าปัญหาขณะนี้ต้องเร่งแก้ไขก่อนเกิดสภากลียุค เพราะขณะนี้คอมมิวนิสต์กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนัก อีกทั้งแนวทางการแก้ปัญหาด้วยการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา
*บช.น.ย้ำคลิปนายกฯตัดต่อ 100%
อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดูแลงานสอบสวน กล่าวเตือนแกนนำผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่า อย่าได้พูดจายั่วยุปลุกปั่นปลุกระดม หรือใช้คำพูดที่เป็นเท็จในการให้ข้อมูลข่าวสาร ตั้งแต่มีการชุมนุมในวันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นมา พบว่าเมื่อวันที่ 14 มี.ค.มีการพูดจาหมิ่นประมาทผู้อื่น และยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย จึงขอเตือนผู้ปราศรัยทั้งเวทีเล็กหรือใหญ่ว่า ขอให้พูดจาภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันพบว่ามีความผิดส่วนตัวที่หมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้รวบรวมข้อมูล ทั้งภาพและเสียงทั้งหมดแล้ว และจะดำเนินคดีในภายหลัง
“สำหรับเทปเสียงของนายกฯที่มีการนำมาเปิดในเวทีปราศรัยนั้น มีการพิสูจน์แล้วยืนยันว่าเป็นการตัดต่อ แต่ก็ยังนำมาพูดบนเวที ถือว่ามีความผิดฐานใส่ความผู้อื่น ซึ่งหลังจากการชุมนุมเสร็จสิ้นจะทำหนังสือรวมรวมหลักฐานให้ทั้งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ และบุคคลอื่นๆ ว่าจะดำเนินคดีในเรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาทส่วนตัวหรือไม่ ส่วนการทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับอาญาแผ่นดินนั้น หากพบทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีไป ครั้งที่แล้วก็มีการดำเนินคดีย้อนหลังกลับกลุ่มนปช.ไปกว่า 14 รายด้วยกัน สำหรับสัญญาการประกันตัวนั้น แกนนำส่วนใหญ่หมดสัญญาการประกันตัว 6 เดือนไปแล้ว เพราะเหตุเกิดตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว เหลือเพียงที่ศาลพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งต้องประสานตรวจสอบกับ บช.ภ.2 ก่อนนำเสอนต่อศาลอีกครั้ง สำหรับการพูดจาให้เกิดความหวาดกลัว
*ท้านายกฯสาบาน 7 วันตาย
อีกด้านนายจตุพร แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ขู่จะฟ้องตน เพราะเป็นการตัดต่อเสียงนั้น ขอท้าให้ฟ้องเลย เพราะตนยืนยันว่า เป็นเสียงที่นายอภิสิทธิ์เป็นคนพูด หากนายอภิสิทธิ์ปฏิเสธ ขอให้ไปจุดธูปสามดอกสาบานที่วัดพระแก้ว ตามแนวทางของประชาชนที่เชื่อกัน หากเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์ จริง ขอให้มีอันเป็นไปใน 3-7 วัน แต่หากไม่ใช่ขอให้ตนมีอันเป็นไปใน 3-7 วันเช่นกัน
*การ์ดรวบเสื้อแดงป่วนเวทีปราศรัย
สำหรับบรรยากาศการผู้ชุมนุมช่วงเช้าที่สะาพนผ่านฟ้าฯ มีรายงานว่า มีผู้ชุมนุมเป็นชายวัยกลางคนรายหนึ่ง มีอาการคลุ้มคลั่ง สวมกางเกงขายาวสีเทาเพียงตัวเดียวเต้นรำไปรอบๆ เวทีชุมนุม ซึ่งการ์ดเสื้อแดงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปห้าม แต่กลับถูกชายดังกล่าวชก 1 หมัด จึงทำให้ถูกรวบตัวมาสงบสติอารมณ์ที่ด้านหลังเวที หลังการสอบสวนทราบว่าชายดังกล่าว ชื่อนายบุญส่ง ดอหล้า อายุ 42 ปี เป็นชาวขอนแก่น มีอาการมึนเมา เพราะได้ดื่มสุราไปหลังจากที่เจ้าหน้าที่ให้ดื่มน้ำ และสงบสติอารมณ์แล้ว การ์ด นปช.จึงได้ปล่อยตัวให้กลับที่พักต่อไป
*แดงผวา ไฟลุกใต้สะพานผ่านฟ้าฯ
ช่วงเย็นได้เกิดกลุ่มควันไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นที่ใต้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกตื่น โดยการ์ด นปช. คาดว่าสาเหตุเกิดจากไฟไหม้สายไฟใต้สะพานดังกล่าว
จากการสอบถามประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ แจ้งว่า พื้นที่ใต้สะพานจะมีคนจรจัดอาศัยอยู่ และมีเด็กผู้ชายอายุประมาณ 14-15 ใส่เสื้อสีแดงได้เดินเข้าไปที่บริเวณดังกล่าวพร้อมจุดไฟแล้ววิ่งออกมา ทำให้การ์ดนปช.วิ่งตาม แต่ก็ไม่สามารถจับตัวได้ ทำให้ไฟลุกโหมไหม้อย่างรวดเร็ว จากการตรวจสอบพบว่าไฟลุกไหม้สายเคเบิ้ลที่เป็นยางทำให้การดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ประกอบกับพื้นที่แคบและควันไฟมีจำนวนมากทำให้ไม่สามารถดับไฟได้ทันที ซึ่งใช้เวลาในการดับไฟประมาณ 20 นาทีจนเพลิงสงบ
**"วิระยา"โผล่เวทีเสื้อแดง ***
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 24.00 น.คืนวันที่ 14 มี.ค. ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล กรรมการมูลนิธิสายใจไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่เวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงให้การต้อนรับ โดยใช้เวลาไม่นานก็เดินทางกลับจากนั้น นายวีระได้เปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ท่านผู้หญิงวิระยาประกาศตัวเป็นเสื้อแดง สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ นปช. มานานแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาที่ชุมนุมด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้มีการโทรศัพท์สอบถามกันเป็นระยะ โดยท่านประสงค์จะช่วยเหลือค่าอาหาร แต่ไม่เปิดเผยจำนวนเงิน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มีแต่ไพร่ แต่มีหลากหลายชนชั้น
*บีทีเอส-รถไฟใต้ดินเพิ่มความถี่
นายอาณัติ อาภาภิรมย์ ทีปรึกษาและกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือบีทีเอส กล่าวว่า บีทีเอสได้เพิ่มความถี่ของการเดินรถไฟฟ้าทุก 2.30 นาที ในชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนเนื่องจากการจราจรบนถนนมีปัญหา
ด้านนายชูเกียรติ โพธยานุวัตร ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวถึง การดูแลรักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าใต้ดิน ว่า ได้เข้มงวดการตรวจตราสถานีที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก เช่น สถานีบางซื่อ และสถานีหัวลำโพง ขณะเดียวกัน รฟม.ได้นำรถไฟฟ้ที่มีทั้งหมด 19 ขบวน ออกมาวิ่งให้บิการเต็มที่ โดยเพิ่มความถี่ในการปล่อยรถทุก 3 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน
*ทอท.ยันทุกสนามบินเปิดปกติ
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. กล่าวว่า ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของทอท.ทั้ง สุวรรณภูมิ,ดอนเมือง เชียงใหม่,หาดใหญ่,ภูเก็ต ,เชียงราย ยังคงให้บริการผู้โดยสารตามปกติ สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางผ่านเส้นทางที่มีการชมนุม ควรตรวจสอบการจราจรล่วงหน้า รวมทั้งเผื่อเวลาในการเดินทาง ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องออก
*การบินไทยปิดสำนักงานหลานหลวงต่อ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สั่งปิดให้บริการที่สำนักงานการบินไทยสาขาหลานหลวงต่อไปอีกจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ โดยงานขายบัตรโดยสารสาขาหลานหลวง จะย้ายมาให้บริการที่สำนักงานใหญ่เป็นการชั่วคราว ในเวลาทำการ
*แดงชม-ชร.-ลำปางโหรงเหรง
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า โดยรอบศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยทำการปิดทางเข้าออกทั้งหมดทุกด้านให้เหลือเพียงช่องทางเข้าออกเดียวขณะที่บริเวณอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงมีการวางรั้วลวดหนามและแท่งคอนกรีตไว้โดยรอบ
ที่จ.เชียงรายแจ้งว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เหลืออยู่ในพื้นที่เพียงไม่กี่คน เพราะส่วนใหญ่เดินทางไปร่วมการชุมนุมที่กรุงเทพฯหมดแล้ว
ขณะที่ที่ศูนย์ราชการศาลากลางจังหวัดลำปาง กำลังเจ้าหน้าที่ อส.ได้เข้าทำหน้าที่ในการตรวจบัตรประจำตัวของผู้ที่มาติดต่อราชการเช่นเดียวกับอีก 2 จังหวัด
ส่วนรอบศาลากลางจังหวัดขอนแก่นก็มีการสนธิกำลังหน่วยควบคุมฝูงชนเช่นกัน