อายิโนะโมะโต๊ะ อัด 650 ล้านบาท ลุยตลาดเครื่องปรุงรส-ผงชูรสมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ชูแผนสร้างดีมานด์ใหม่ปั้นรสน้ำแดง ขยายสู่เมนูอาหารจีน รั้งบัลลังก์ผู้นำตลาดกวาดแชร์ 66% ทิ้งห่างคนอร์ ส่งโกลบอลแคมเปญโฆษณาผงชูรส เร่งสร้างการรับรู้คอนเซปต์”อูมามิ รสอร่อย” เสริมภาพลักษณ์ผงชูรส เล็งต่อยอดสื่อถึงสุขภาพ หวังตอกย้ำสองบัลลังก์ผู้นำตลาดดันรายได้รวมปี 53 โตสองหลัก
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรุงรสรสดี และผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 650 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตลาดเชิงรุกเครื่องปรุงรสแบรนด์รสดีภายใต้การใช้งบ 500 ล้านบาท และกลุ่มผงชูรสแบรนด์อายิโนะโมะโต๊ะ ใช้งบ 150 ล้านบาท เนื่องจากทั้งสองตัวเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 50% ของรายได้รวม และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความทับซ้อนกัน คือ ใช้ปรุงอาหารทั้งสองอย่างร่วมกัน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งทดแทนกันได้ สำหรับแผนการตลาดเครื่องปรุงรสดี เน้นการสร้างความต้องการใหม่ให้กับผู้บริโภค เพื่อผลักดันให้ตลาดผงปรุงรสมูลค่า 5,000 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 10% หรือมีมูลค่า 5,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 7-8%
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบ 150-200 ล้านบาท เปิดตัวเครื่องปรุงรสใหม่ เมนูน้ำแดง เพื่อสร้างความต้องการใหม่จากการใช้เครื่องปรุงรส นอกเหนือจากรสหมู รสไก่ หลังจากในช่วงยุคแรกการทำตลาดรสดี สร้างตลาดโดยเริ่มจากการประกอบอาหารประเภทต้ม กระทั่งปัจจุบันตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหลากหลาย ทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด และล่าสุดขยายจากเมนูอาหารไทยสู่เมนูอาหารจีน เนื่องจากพบว่า เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจากอาหารไทย สำหรับผงปรุงรสพร้อมแป้ง รสดี เมนูน้ำแดง เจาะกลุ่มเป้าหมาย แม่บ้าน พร้อมกันนี้ยังได้ขยายฐานไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเพิ่มความหลากหลายของเมนูอาหารประจำวัน
ทั้งนี้บริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ในชื่อชุด “เมนูน้ำแดง” มุ่งเน้นการสื่อสารถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการใช้ ความหลากหลายของเมนูน้ำแดงที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดย “ผงปรุงรสพร้อมแป้ง รสดี เมนูน้ำแดง” ตลอดจนการให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันเนลเทรด เป็นต้น และเดินสายโรดโชว์ทำชิมทั่วประเทศ และจากการดำเนินตลาดเชิงรุกปีนี้บริษัทตั้งเป้ารสดีเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 12-14% หรือมีส่วนแบ่ง 63% เป็น 66% ครองความเป็นผู้นำตลาด ส่วนคนอร์ปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 35% และอื่นๆ 3%
สำหรับแผนการตลาดผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 150 ล้านบาท มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ผงชูรสมีส่วนช่วยให้รสชาติอาหารอร่อย ผ่านการสื่อสารคอนเซปต์”อูมามิ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นแปลว่าอร่อย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเป็นแคมเปญการตลาดที่ดำเนินการทั่วโลกของบริษัทแม่ สำหรับภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผงชูรสอายิฯ ได้เปิดตัวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม กระทั่งเดือนเมษายน นี้ มีด้วยกัน 3 ชุด ซึ่งบริษัทคาดว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจการใช้ผงชูรส และสร้างการจดจำ พร้อมกันนี้การทำตลาดในอนาคตยังสามารถสื่อสารในเรื่องของสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ครองส่วนแบ่งมากกว่า 60%
นายพิเชียร กล่าวถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้เครื่องปรุงรสว่า มีการปรับเปลี่ยนจากการใช้แต่ละชนิดในการปรุงอาหาร มาใช้เครื่องปรุงรสเพื่อความสะดวกในการประกอบการอาหาร ส่งผลให้ฐานการใช้เครื่องปรุงรสในครัวเรือนทั่วประเทศกว่า 83% ขณะที่ตลาดผงชูรสมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท การใช้ในครัวเรือนทั่วประเทศกว่า 70% แต่โดยมากกลุ่มผู้ใช้ในร้านอาหารสัดส่วน 65% และที่เหลือ 35% สำหรับในครัวเรือน และปีนี้บริษัทเปิดตัวสินค้าใหม่ 1-2 รายการ โดยสิ้นปีบริษัทตั้งเป้าผลประกอบการรวมเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางการเมือง บริษัทเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิต
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรุงรสรสดี และผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 650 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตลาดเชิงรุกเครื่องปรุงรสแบรนด์รสดีภายใต้การใช้งบ 500 ล้านบาท และกลุ่มผงชูรสแบรนด์อายิโนะโมะโต๊ะ ใช้งบ 150 ล้านบาท เนื่องจากทั้งสองตัวเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 50% ของรายได้รวม และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความทับซ้อนกัน คือ ใช้ปรุงอาหารทั้งสองอย่างร่วมกัน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งทดแทนกันได้ สำหรับแผนการตลาดเครื่องปรุงรสดี เน้นการสร้างความต้องการใหม่ให้กับผู้บริโภค เพื่อผลักดันให้ตลาดผงปรุงรสมูลค่า 5,000 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 10% หรือมีมูลค่า 5,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 7-8%
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบ 150-200 ล้านบาท เปิดตัวเครื่องปรุงรสใหม่ เมนูน้ำแดง เพื่อสร้างความต้องการใหม่จากการใช้เครื่องปรุงรส นอกเหนือจากรสหมู รสไก่ หลังจากในช่วงยุคแรกการทำตลาดรสดี สร้างตลาดโดยเริ่มจากการประกอบอาหารประเภทต้ม กระทั่งปัจจุบันตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหลากหลาย ทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด และล่าสุดขยายจากเมนูอาหารไทยสู่เมนูอาหารจีน เนื่องจากพบว่า เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจากอาหารไทย สำหรับผงปรุงรสพร้อมแป้ง รสดี เมนูน้ำแดง เจาะกลุ่มเป้าหมาย แม่บ้าน พร้อมกันนี้ยังได้ขยายฐานไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเพิ่มความหลากหลายของเมนูอาหารประจำวัน
ทั้งนี้บริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ในชื่อชุด “เมนูน้ำแดง” มุ่งเน้นการสื่อสารถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการใช้ ความหลากหลายของเมนูน้ำแดงที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดย “ผงปรุงรสพร้อมแป้ง รสดี เมนูน้ำแดง” ตลอดจนการให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันเนลเทรด เป็นต้น และเดินสายโรดโชว์ทำชิมทั่วประเทศ และจากการดำเนินตลาดเชิงรุกปีนี้บริษัทตั้งเป้ารสดีเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 12-14% หรือมีส่วนแบ่ง 63% เป็น 66% ครองความเป็นผู้นำตลาด ส่วนคนอร์ปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 35% และอื่นๆ 3%
สำหรับแผนการตลาดผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 150 ล้านบาท มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ผงชูรสมีส่วนช่วยให้รสชาติอาหารอร่อย ผ่านการสื่อสารคอนเซปต์”อูมามิ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นแปลว่าอร่อย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเป็นแคมเปญการตลาดที่ดำเนินการทั่วโลกของบริษัทแม่ สำหรับภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผงชูรสอายิฯ ได้เปิดตัวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม กระทั่งเดือนเมษายน นี้ มีด้วยกัน 3 ชุด ซึ่งบริษัทคาดว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจการใช้ผงชูรส และสร้างการจดจำ พร้อมกันนี้การทำตลาดในอนาคตยังสามารถสื่อสารในเรื่องของสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ครองส่วนแบ่งมากกว่า 60%
นายพิเชียร กล่าวถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้เครื่องปรุงรสว่า มีการปรับเปลี่ยนจากการใช้แต่ละชนิดในการปรุงอาหาร มาใช้เครื่องปรุงรสเพื่อความสะดวกในการประกอบการอาหาร ส่งผลให้ฐานการใช้เครื่องปรุงรสในครัวเรือนทั่วประเทศกว่า 83% ขณะที่ตลาดผงชูรสมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท การใช้ในครัวเรือนทั่วประเทศกว่า 70% แต่โดยมากกลุ่มผู้ใช้ในร้านอาหารสัดส่วน 65% และที่เหลือ 35% สำหรับในครัวเรือน และปีนี้บริษัทเปิดตัวสินค้าใหม่ 1-2 รายการ โดยสิ้นปีบริษัทตั้งเป้าผลประกอบการรวมเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางการเมือง บริษัทเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิต