xs
xsm
sm
md
lg

กระบวนการเรียนรู้ทางสังคมที่ดีสร้าง “สันติ-สงบสุข”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

“กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization)” เป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เยาว์วัย โดยสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันสำคัญสูงสุดที่ต้องเริ่มต้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คือ “การวางแผน” ที่คงจะมอบให้เฉพาะ “สถาบันครอบครัว” อย่างเดียวคงไม่ได้ “สังคมรวม” จะต้องมีบทบาทเช่นเดียวกัน

ความจริงที่ต้องยอมรับว่า “กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม” นั้น จะต้องตอบสนองและสอดรับเป็นทอดๆ กันไป ต่อเนื่องกันไปโดยต้องเริ่มที่ “ครอบครัว” ต่อจากนั้น “ชุมชน-สภาพแวดล้อม” ใกล้ตัวจะต้องมีบทบาทสำคัญไม่ด้อยน้อยไปกว่ากัน ส่วน “โรงเรียน” เป็นกระบวนการที่ใช้ระยะเวลายาวนานในการอบรม บ่มสั่งสอนทั้งในเชิงวิชาการ ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม แค่คงไม่สำคัญเท่ากับ “ความรู้” และ “ระเบียบวินัย”

อย่างไรก็ตาม “องค์รวมสังคมขนาดใหญ่” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นของกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมที่มีต่อเด็ก เยาวชน หรือแม้กระทั่ง ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สื่อสารมวลชน” ที่มีอิทธิพลมากที่สุดกับสังคมยุคใหม่ที่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น “สังคมบริโภคนิยม (Consumerism)”

ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมทั่วๆ ไป ตลอดจน “วัฒนธรรม” ของสังคมต่างก็มีบทบาทและอิทธิพลที่ไม่ห่างไกลกันเท่าใดนัก เนื่องด้วย “การดำเนินชีวิตประจำวัน” ของประชาชนนั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แต่ต้องติดต่อประสานงานเดินทางไปมาแทบตลอดเวลา ดังนั้น สภาพแวดล้อมโดยรวมจึงมีความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้เช่นเดียวกัน

กระบวนการเรียนรู้ในสังคมนั้น สามารถเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มิใช่ว่า ช่วงเยาว์วัยของเด็ก และ/หรือเยาวชน จะต้องเข้าสู่กระบวนการที่เป็นบวกตลอดเวลา อาจจะเริ่มต้นจากกระบวนการที่ขาดตกบกพร่องบ้างก็ได้ และค่อยมาพัฒนาในเชิงบวกเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น

แต่จริงๆ แล้ว “กระบวนการเรียนรู้เชิงบวก” ในช่วงเริ่มต้น น่าจะเป็น “กระบวนการบ่มเพาะ” และ “หล่อหลอม” ได้ดีที่สุด เนื่องด้วย “ความสด-ความบริสุทธิ์” ในการ “รับรู้” จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้ง “การฝังใจ-ฝังจิต” จะลบล้างออกได้ยากจากช่วงเยาว์วัยนี้

ถ้าเด็กในช่วงเยาว์วัยถูกฝึกสอนและอบรมบ่มเพาะด้วยการมีระเบียบวินัย เคารพสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ตลอดจนให้รู้จักแยกแยะถึง “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” และถ้าก้าวล่วงสู่ความเข้าใจว่า “บาป บุญ คุณโทษ” คืออะไร จะเป็นพื้นฐานที่เป็นและประโยชน์สูงสุด

ปัญหาของผู้คนโดยทั่วไป ในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะ “ผู้ใหญ่” ที่เริ่มตั้งแต่อายุ 35-60 ปี มักจะได้รับพัฒนาจากพื้นฐานที่ผสมผสานมีทั้ง “ดี-เลว” มากน้อยแตกต่างกันไป บางคนจะ “ใฝ่ดี” มากกว่า “ใฝ่เลว-ใฝ่ชั่ว” ซึ่งแน่นอนอาจได้รับการพัฒนามาจากกระบวนการเรียนรู้ช่วงวัยเด็ก แต่ถ้าได้รับการอบรมและผ่าน “กระบวนการศึกษา” ที่ดี มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากกว่าทางที่ไม่ถูก

“กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม” ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Socialization” โดยนัยความหมายทางภาษาก็อธิบายชัดเจนแล้วว่า “สังคมทำหน้าที่บ่มเพาะอุปนิสัยพฤติกรรมตามความจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของสภาพแวดล้อมสังคม”

ถ้าจะให้วิพากษ์วิจารณ์ตามสาระของแนวคิดข้างต้นก็หมายความว่า “กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม” นั้น จะต้องถูกล้อมกรอบจาก “ปัจจัยแวดล้อม” ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าเชิงสังคม การเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่ง ศิลปวัฒนธรรม และต่างประเทศ ยิ่งสังคมยุคปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ด้วยแล้ว ผลกระทบของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วอย่างมาก ยิ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการเรียนรู้

จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของกระบวนการเรียนรู้นั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ “วัยเด็ก” ที่บิดามารดา และ/หรือผู้ปกครอง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ยิ่งถ้าอบรมสั่งสอนบนพื้นฐานของ “หลักเหตุผล” พร้อมทั้ง “แยกแยะ” ให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนด้วย “ห้ามใช้อารมณ์” อย่างเด็ดขาด เนื่องด้วยจะก่อให้เกิด “พฤติกรรมก้าวร้าว!” เมื่ออายุมากขึ้น

“ความเชื่อมั่นตนเอง-ความทะเยอทะยาน” ตลอดจน “ยึดมั่นความถูกต้อง-ยึดมั่นความมีวินัย” และที่สำคัญ “ความยุติธรรม” ล้วนเป็นกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมที่เกิดจากเยาว์วัยไปจนถึงช่วงอายุ 13-18 ปี

เพียงแต่ว่า พื้นฐานสำคัญของ “ความมีวินัย-ความถูกต้อง-ความยุติธรรม” ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน อาจมากถึง 10 กว่าปี จากเยาว์วัยจนถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งขอย้ำว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ส่วน “ความเชื่อมั่นตนเอง-ความทะเยอทะยาน” นั้น ค่อยๆ พัฒนาได้ในช่วงวัยรุ่น จนถึงอายุ 18-25 ปี

บุคคลที่มี “พฤติกรรมก้าวร้าว” นั้น มักเกิดจากช่วงเยาว์วัยที่เกิดจากการกระทำของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ใช้ “หลักอารมณ์” มากกว่า “หลักเหตุผล” ดังนั้น “ความอดทน” ในการชี้แจงอธิบายจากผู้ใหญ่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด

ยิ่งถ้าเกิดการโต้แย้ง ความเห็นไม่ลงรอยกัน จนเกิดอารมณ์ขึ้นมา โดยผู้ใหญ่ดุด่าจนเลยเถิดถึงขั้น “ทุบตี!” ยิ่งก่อให้เด็กเกิดความรู้สึกสับสนและไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อนั้น “พฤติกรรมร้าย” จะเกิดขึ้นแก่เด็กทันที ด้วย “ความรู้สึกผิดหวัง-ไม่เข้าใจ-ไม่ให้เกียรติผู้อื่นและตนเอง-เกลียด” และแน่นอน “การต่อต้าน” จะถูกฝังใจไปในที่สุด และก็จะกระทำเช่นนี้กับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าตนเองในเวลาต่อมา

นอกเหนือจากพฤติกรรมต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ต่างเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ทั้งสิ้น แต่ก็ยังมี “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” อื่นๆ ที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ เช่นเดียวกัน ไม่ว่า “ไม่ให้เกียรติ-ดูถูกผู้อื่น” หรือ “โกหก-ลวงโลก” แม้กระทั่ง “โกหกตนเอง!” และก็หลงคิดว่า “สิ่งที่หลอกลวงตนเองเป็นเรื่องจริง” ซึ่งอันตรายที่สุด!

“พฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบ” จนเลยไปถึง “การเบียดเบียน-รังแก” ผู้อื่นมักพัฒนามาจากกระบวนการเรียนรู้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากพื้นฐานเมื่อเยาว์วัย หรืออาจเกิดจากช่วงของการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน ก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ขอย้ำประเด็น “พฤติกรรมลวงโลก-โกหกตนเอง” และ “จินตนาการ” ได้สารพัดอย่าง และ “หลงเชื่อ-หลอกตนเอง” ได้ว่าเป็น “เรื่องจริง” และซ้ำร้าย “ไม่ยอมรับความผิด-ปัดความผิด-ปัดความรับผิดชอบ” ให้ผู้อื่นอีก ต้องขอบอกว่า “อันตราย-น่ากลัวที่สุด!”

ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกช่วงวัย ไม่จำเป็นต้องเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ ช่วงเยาว์วัย เพราะกระบวนการเรียนรู้นั้น เกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต แม้กระทั่ง “วัยชรา!”

เป็นกรณีที่แปลก ที่ใครก็ตามแต่เมื่อตกอยู่ใน “สภาพปิดกั้น” จะเนื่องด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เกิดจาก “อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่มากล้นเหลือ จนถูก “ปิดกั้น-ปิดหู-ปิดตา” จากคนใกล้ชิด หรือจากตนเอง จนในที่สุดเกิด “อาการเหลิงอำนาจ” จนไม่ยอมรับความจริง ปกปิดกั้นตนเอง และคิดว่า “ตนเองถูกที่สุด” ในกรณีนี้เช่นเดียวกัน “อันตรายที่สุด!”

ในขณะเดียวกัน พฤติกรรมเบี่ยงเบนนี้ อาจเกิดขึ้นแก่บุคคลที่เคยถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ จนเกิดการสะสมความคับแค้นใจ จนเมื่อสามารถมีอำนาจได้เมื่อใด ก็จะชำระความแค้นสู่ผู้อื่นเมื่อสบโอกาส

ต้องขอย้ำว่า “กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization)” เกิดตั้งแต่เยาว์วัย และจะพัฒนาสู่ทุกช่วงวัย แต่ช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงเยาว์วัยพื้นฐานสำคัญในการกำหนดกรอบ และกำหนดให้เป็น “วิถีชีวิต (Ways of Life)” ที่จะแข็งแกร่งได้ตลอดชีวิตด้วย “กรอบวินัย-กรอบกฎหมาย” จนมาเป็น “กรอบคุณธรรม-กรอบจริยธรรม”

เมื่อใดที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งผ่านกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมอย่างมีพื้นฐานที่ดี จนกลายเป็น “กรอบหลักการ” ในการดำเนินชีวิต และยึดมั่นเป็นสรณะ ปัญหาที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมขนาดใหญ่ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่า จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง “สงบสุข”

เหตุผลสำคัญ คือ “การอ่อนน้อมถ่อมตน-ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร-ไม่รังแกเบียดเบียนผู้อื่น” โดยจะเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ยอมรับ ได้รับเกียรติจากผู้คนโดยทั่วไป

สุดท้ายที่สุด “การยอมรับความผิด-ยอมรับความจริง” เป็น “สุภาพชน” ชีวิตก็จะประสบแต่ความสุข ความสงบ มิต้องร้อนรน สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเอง ครอบครัว และคนใกล้ชิด!
กำลังโหลดความคิดเห็น