xs
xsm
sm
md
lg

การสร้างพื้นฐานความดีของเด็ก!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

ต่อจาก “วันเด็ก” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “วันครู” เพิ่งจะผ่านไป ดังนั้นว่าไปแล้ว น่าจะเริ่มด้วย “วันครู” เสียก่อนแล้วค่อยมา “วันเด็ก” ทั้งนี้จะ “เด็กก่อน” ตามด้วย “ครู” ก็ไม่น่าจะแปลกแตกต่างกันมากน้อยเท่าใดนัก!

ความสัมพันธ์ระหว่าง “เด็ก-ครอบครัว-ครู” มีความเชื่อมโยงผูกติดอย่างลึกซึ้งในเชิง “ความเป็นจริง” และ/หรือ “ทฤษฎี” แต่ที่สำคัญที่สุด คือ “บริบท-สภาพแวดล้อมสังคม” ทั้งในระดับชุมชนและระดับใหญ่ ที่มี “บทบาท-ภาระหน้าที่” สำคัญ ที่จำต้อง “โอบล้อม” ให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามสถาบันข้างต้น เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงของ “สังคมยุคใหม่” ความสัมพันธ์ทั้งสามสถาบันข้างต้น ขอย้ำอีกครั้งว่า “เด็ก-ครอบครัว-ครู” จำต้องผูกติดโยงใยกันอย่างแยกไม่ออก แต่จริงๆ แล้ว ปัจจุบัน มิได้เป็นเช่นนั้นเลย “ห่างไกล” และที่เลวร้ายมากกว่านั้น คือ “แยกสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด” หรือกล่าวอย่างภาษาชาวบ้าน คือ “ต่างคนต่างอยู่!”

“เด็กวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า” บทบาทภารกิจสำคัญที่จะเกิดเช่นนั้น คือ “ผู้ใหญ่” ต้องเป็นผู้สั่งสอน อบรม บ่มเพาะ ชี้แนะ นำทาง จนอาจเลยเถิดไปถึง “บังคับ” หรือ “ตีกรอบ-ตีเส้น” ให้เด็ก “นึกคิด-ปฏิบัติตน” ไปในทิศทางนั้นๆ

เด็กๆ จนอายุล่วงเลยมาถึงเยาวชนนั้น ไม่มีทางที่จะ “คิดเป็น” ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องด้วยมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เมื่อเกิดมาก็เปลี่ยน “สัตว์” แต่ไม่ถึงขั้น “เดรัจฉาน” เนื่องด้วย “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” พอจะมีวิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์แยกแยะได้บ้างว่า “อะไรควรมิควร!”

ทั้งนี้ ก็คงมีมนุษย์บางคนที่อาจมี “จิตใต้สำนึก” ที่ผิดทิศผิดทางไปทาง “ไร้เดียงสา” จนถึงขั้น “ไร้สาระ” และอาจเลยเถิดไปจนถึงขั้น “เดรัจฉาน” ที่เสมือน “สัตว์”

“การเลียนแบบ” และ “การเรียนรู้” คือ องค์ประกอบสำคัญของ “ความเป็นสัตว์ประเสริฐ” ของมนุษย์ที่มี “พื้นฐาน” ทางด้านจิตใจที่เรียกว่า “จิตสำนึก” หรือ “Conscience” ที่ทำให้มนุษย์เรา “เรียนรู้เร็ว-เลียนแบบเร็ว”

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ “เรียนรู้” ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาด้วยการบริโภค การฟัง อารมณ์ของมารดา พร้อมทั้งสามารถมีความรู้สึกได้จากสภาพแวดล้อมของมารดาและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อารมณ์”

เราคงเลยได้ยินว่า เด็กที่อยู่ในครรภ์สามารถได้ยินการสนทนาของมารดากับบุคคลอื่นที่ถ่ายทอดทั้งทาง “อารมณ์-ความรู้สึก-เสียง” และถ้าจะฝึกเด็กที่อยู่ในครรภ์ให้มีความเป็น “อัจฉริยะ” หรือเพียง “ความฉลาด” ก็ต้องให้เด็กในครรภ์ฟังเพลง “คลาสสิก” ยิ่งถ้าเป็นของโชแปง โมสาร์ท บีโธเฟน เป็นต้น น่าจะประเสริฐสุด!

“สภาพแวดล้อม-บริบทครอบครัว” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของ “สถาบันครอบครัว” ที่เด็กสามารถสัมผัสและถูกถ่ายทอดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ต่อมาเมื่ออยู่ในขั้นเยาว์วัยเป็นทารกจนสามารถเดินเตาะแตะได้ จะเรียนรู้และเลียนแบบตลอดเวลาจากสภาพแวดล้อมและบรรยากาศภายในครอบครัว

กลุ่มบุคคลที่เป็นทั้งพ่อแม่ พี่น้อง จนมาถึง ปู่ย่าตายาย วงศาคณาญาติ โดยเฉพาะสังคมไทยที่ในอดีต หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน ก็ยังมีลักษณะสังคมเครือญาติอยู่บ้างตามต่างจังหวัด เด็กจะเรียนรู้ได้เร็วมาก โดยเฉพาะ “พฤติกรรม” และ “อุปนิสัยใจคอ” ของสมาชิกในครอบครัว โดยอาจจะดูดซึม “ความอบอุ่น” หรือ “ความแตกร้าว” ในครอบครัว ซึ่งแน่นอน บางครอบครัวก็จะสุดโต่งไม่อบอุ่นก็แตกร้าว หรือไม่ก็ผสมผสานกัน

สังคมในประเทศที่พัฒนาเจริญแล้ว มักเป็น “สังคมเดี่ยว” ที่มีสมาชิกในครอบครัวประมาณ 3-4 คนเท่านั้น กล่าวคือ มีพ่อแม่ บุตรธิดา ประมาณ 2-3 คนเท่านั้น “ความใกล้ชิด” จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สมาชิกในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจะหลีกหนีไม่พ้นกับการร่วมรับประทานอาหาร นั่งรถส่งไปโรงเรียน และร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน

ระหว่าง “กระบวนการอยู่ร่วมกัน” นี้ ไม่ว่าโอกาสใด บนโต๊ะอาหาร บนรถยนต์ หรือภายในห้องรับแขกที่นั่งดูโทรทัศน์ร่วมกัน “โอกาส” ของ “ความใกล้ชิด” คือ “สนทนาพูดคุย” ที่แน่นอน ต้องมีการ “ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ!” จนเลยเถิดไปถึง “การปรึกษาหารือ” หรือ “ปรับทุกข์” ก็เป็นได้ ในกรณีนี้ นับว่าต้องเป็นครอบครัวที่ “ใกล้ชิด” จนถึงขั้น “รักใคร่-ไว้เนื้อเชื่อใจ” กัน ซึ่งสำคัญมาก

“ความเป็นเพื่อน” ที่พ่อแม่ต้องมอบให้กับลูกนับเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่ลูกมีความรู้สึก “ไว้ใจ (Trust)” สามารถปรึกษาหารือได้ และไม่สำคัญเท่ากับ ความรู้สึกว่า พ่อแม่สามารถ “ช่วยเหลือ-แก้ไข” ได้ เมื่อยามทุกข์ร้อน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กส่วนใหญ่มักไม่ค่อยกล้าปรึกษาหารือพ่อแม่ก่อน เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่ต้องเป็นฝ่าย “หยิบยื่น-เสนอ-เข้าหา” บุตรธิดา จึงมีความสำคัญและจำเป็นที่เด็กจะรู้สึกสบายใจ

ทั้งนี้ “การเป็นฝ่ายเข้าหา” เด็กก่อนนั้น ต้องกระทำและแสดงออกด้วยอาการเป็นห่วง มิใช่เป็นการจับผิด เนื่องด้วยตามกฎเกณฑ์ธรรมชาตินั้น เด็กมักจะกลัวและเกรงใจพ่อแม่ ซึ่งเหตุผลสำคัญ เกิดจากอารมณ์ผสมผสานทั้ง “รัก-กลัว-เกรงใจ” แต่ที่สำคัญคือ “ประสบการณ์ชีวิต!”

เมื่อใดที่ทุกคนในสมาชิกครอบครัวมีความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน ตลอดจนสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน “ความอบอุ่น” จะเกิดขึ้น จนในที่สุด “การพัฒนาอุปนิสัยเชิงบวก (Positive)” จะค่อยพัฒนาตามลำดับ และกลายเป็นพื้นฐานของ “จิตใจดี” และ “อารมณ์ดี” ในที่สุด และน่าจะเลยเถิดไปจนถึง “การมองโลกในแง่ดี!”

เป็นที่น่าเสียใจอย่างมาก ที่สังคมยุคใหม่เป็น “สังคมครอบครัวเดี่ยว” และ “สังคมครอบครัวแตกแยก” กล่าวคือ “สังคมครอบครัวเดี่ยว” หมายถึง สังคมครอบครัวที่มีขนาดเล็ก และเลวร้ายคือ “ต่างคนต่างอยู่” ไม่มีเวลาที่จะอยู่ร่วมกัน ในการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จนเด็กต้องพัฒนาความคิด อุปนิสัย พฤติกรรม จากเพื่อนๆ และจากสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์

ส่วน “สังคมครอบครัวแตกแยก” นั้น ครอบคลุมถึงสังคมที่พ่อแม่ต้องดิ้นรนออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน จนไม่มีเวลาพบหน้ากันเลย และบางครอบครัวเกิดจากพ่อแม่มีปัญหาแตกแยกกัน เด็กเกิดความรู้สึกผิดหวังเสียใจ และความรู้สึกพฤติกรรมเริ่มพัฒนาก่อตัวไปในทิศทางแยกตัวเอง จนรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และซ้ำร้าย “ก้าวร้าว” ในที่สุด

ช่วงตั้งแต่เป็นเด็กแบเบาะจนถึงขั้นเดินได้และเริ่มเข้าศึกษาเล่าเรียนในชั้นอนุบาล ตลอดจนชั้นประถมศึกษา ก่อนถึง “วัยรุ่น” นั้น ต่างมีความสำคัญ “ต่างกรรมต่างวาระ” กันทั้งสิ้น

กระบวนการระดับนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาชิกในครอบครัวต่างต้องแบ่งความรับผิดชอบใน “การประคบประหงม” เชิง “อบรมบ่มสั่งสอน” พัฒนาพื้นฐานความเป็นคน “จิตใจดี” ที่สำคัญที่สุดคือ “พื้นฐานดี” ที่จะพัฒนาต่อไปเพื่อเป็น “คนดี”

“โรงเรียน” เป็นจุดเชื่อมโยงขั้นที่สองที่จะรับไม้ต่อจากสถาบันครอบครัวพัฒนาต่อไปในเชิง “การศึกษา” ที่ก่อให้เกิด “ความคิด” ที่เริ่มต้นด้วยระบบการศึกษาที่ดี สร้างพื้นฐานการศึกษาว่า “ความคิดดี” คืออะไร และ “วิธีการสร้างความคิดดี” มีอะไรบ้าง

ช่วงต้นของระบบการศึกษาที่พึงกระทำมากที่สุดคือ ให้เด็กเล็กช่วง 7-10 ขวบ มีความรู้ความเข้าใจกับบรรดา “คำนิยาม” ที่สำคัญว่า “อะไรคืออะไร” พร้อมทั้ง ความสามารถในการ “อธิบาย” ได้

ต่อจากนั้น การสอนให้เด็กแยกแยะให้ได้ว่า “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” เป็นอย่างไร สมควรเป็นขั้นตอนที่มีการปูพื้นฐานระดับนี้ให้พื้นฐานแน่นที่สุด เพราะเมื่อใดที่เด็กรู้และตระหนัก จนกลายเป็น “สำนึก” ว่า “อะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิดถูก” เมื่อนั้น การพัฒนาทางความคิด และค่อยๆ บ่มจนเป็น “อุปนิสัย” แล้วบุคลิกภาพ ตลอดจนการพัฒนาไปสู่ “คนดีของสังคม” ก็จะเกิดขึ้น

“ระเบียบวินัย” เช่นเดียวกัน ที่ต้องเริ่มตั้งแต่วัยนี้ ที่จะสร้างและพัฒนาให้เด็กเป็นผู้ที่ “เคารพ-เกรงกลัว” ต่อ “ระเบียบวินัย” และจะพัฒนาไปสู่ “การปกปักรักษา” และ “เคารพกฎหมาย” เป็น “ประชาชนเคารพกฎหมาย (Law Abiding Citizen)” ในที่สุด

และการเคารพสิทธิเสรีภาพ ทั้งของตนเองและผู้อื่นก็จะเกิดขึ้น!
กำลังโหลดความคิดเห็น