ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้(8มี.ค.) ปิดที่ระดับ 720.29 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.51% มูลค่าการซื้อขาย 19,611.26 ล้านบาท โดยภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ แกว่งตัวในกรอบแคบแม้ปัจจัยต่างประเทศเป็นบวก จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี แต่ถูกปัจจัยการเมืองในประเทศกดดันอยู่ หลังรัฐบาลเตรียมประกาศใช้ กม.ความมั่นคงฯ ช่วงชุมนุมใหญ่กลุ่มเสื้อแดง 12-14มี.ค.
โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 729.03 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ 716.49 จุด ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,987.68 ล้านบาท เช่นเดียวกับ บัญชีบล.ที่ซื้อสุทธิ 275.28 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิสูงสุด 2,893.41 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,835.22 ล้านบาท ปิดที่ 235.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,460.45 ล้านบาท ปิดที่ 78.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,374.76 ล้านบาท ปิดที่ 24.90 บาท ลดลง 1.10 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,235.96 ล้านบาท ปิดที่ 140.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,171.25 ล้านบาท ปิดที่ 11.30 บาท ลดลง 0.60 บาท สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์บวก 44.28 จุด ปิดที่ 2,834.57 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศ พบว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์ สิงคโปร์ บวก 21.59 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 2,790.29 จุด ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ปิดบวกเมื่อคืนนี้ หลังรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานที่ดีเกินคาด ปิดที่ 21,196.87 จุด เพิ่มขึ้น 408.9 จุด หรือ 1.97%
****แดงถ่อยจ่อกดดัชนีเหลือแค่670จุด
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า “สุเทพ” เตรียมเสนอครม.ประกาศใช้กม.ความมั่นคงฯในกทม. & ปริมณฑล 11-23 มี.ค.นี้ โดยจะเสนอให้ครม.พิจารณาในวันนี้(9มี.ค.) หวังควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯแบบยืดเยื้อที่จะเริ่มตั้งแต่ 12 มี.ค. ถือว่าเป็นการ “กันไว้ดีกว่าแก้” และไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ต้องตกใจกับการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะก่อนหน้านี้ก็ประกาศใช้มาหลายครั้งแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสงบ และ สันติจริงหรือไม่? เพราะหากมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงหรือปะทะกัน จนรัฐบาทต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ กฎอัยการศึก คราวนี้ตลาดหลักทรัพย์เสี่ยงที่จะต้องลงมาเริ่มต้นใหม่ๆบริเวณ670 จุด โดยกลุ่มแรกที่เป็นเป้าที่จะโดนขายคือ “ท่องเที่ยว” โดยเฉพาะ “THAI” ที่ตอนนี้วิ่งเลยเป้าในเชิงพื้นฐานปี 2010 ที่ 23 บาท ไปแล้ว
ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงนี้คือ “เล่นรอบจบในวัน” เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ตลอดเดือนมี.ค.นี้ 670-740 จุด
****โบรกฯแนะจับตาแรงซื้อต่างชาติ
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ แม้จะมีแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆที่ประกาศออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ทิศทางการฟื้นตัว รวมทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่รัฐบาลเตรียมประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯมาดูแลสถานการณ์การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง
ทั้งนี้ จะส่งผลทำให้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(9มี.ค.) คาดว่าจะยังแกว่งตัวแคบๆ เช่นเดียวกับวานนี้ เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังกดดันตลาดหุ้นไทย เพราะทุกคนยังรอดูสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งการที่จะประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงฯ มีทั้งผลดีและผลเสีย โดยคนบางกลุ่มอาจอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการป้องกันไว้ก่อน แต่อีกมุมมองอาจเห็นว่าเป็นการสร้างความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ ซึ่งรัฐบาลอาจประเมินแล้วว่าสถานการณ์จะรุนแรงต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาหลายครั้งที่มีการประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก
"นักลงทุนต้องรอดูความชัดเจนด้านการเมืองที่แท้จริง เพราะมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ คงต้องรอดูช่วงปลายสัปดาห์ ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เกิดขึ้นจริงก็คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก โดยดูจากหลายครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ จึงให้กรอบการลงทุนวันนี้ โดยแนวรับที่ 715-710 และแนวต้านที่ 725-730 จุด”
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผช.ผอ.อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปรับขึ้นได้ในช่วงเช้า จากนั้นเจอแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะ ๆ สวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลเรื่องการเมืองในประเทศมากขึ้น หลังกลุ่มเสื้อแดงเตรียมออกมาชุมนุมใหญ่ในสุดสัปดาห์นี้ ดังนั้นแนวโน้มตลชาดหุ้นไทยวันนี้ มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวนมากทั้งในแดนบวก และลบ เพราะปัจจัยลบทางการเมืองจะกดดันบรรยากาศการลงทุนตลอดทั้งสัปดาห์ และหากรัฐประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคง เพื่อควบคุมสถานการณ์ จะยิ่งสร้างความกังวลให้นักลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่า จะชะลอลงหรือไม่ ประเมินแนวรับที่ 709 จุด และแนวต้าน 726 จุด กลยุทธ์ แนะนำเทขายทำกำไรเพื่อลดพอร์ตลงทุน
***APเตรียมแผนสองรับมือม็อบเสื้อแดง
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มีนาคมที่จะถึงนี้ยังไม่สามารถประเมินได้แต่ที่แน่ๆ คือมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างแน่นอน ส่วนกระทบมากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเอกชน นักลงทุนได้เตรียมความพร้อมไว้รองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยในส่วนของบริษัทก็เช่นเดียวกัน แต่แผนจะออกมาในรูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงจากการชุมนุมว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด
ส่วนแผนการดำเนินงานปี 53 จากวันนี้ไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 54 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 19 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 29,710 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ ทั้งทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว จำนวน 15 โครงการ มูลค่า 19,010 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 10,700 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายยอดขายไว้ที่ 21,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบ 65% ส่วนอีก 35% มาจากคอนโดมิเนียม
โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 729.03 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ 716.49 จุด ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,987.68 ล้านบาท เช่นเดียวกับ บัญชีบล.ที่ซื้อสุทธิ 275.28 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิสูงสุด 2,893.41 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,835.22 ล้านบาท ปิดที่ 235.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,460.45 ล้านบาท ปิดที่ 78.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,374.76 ล้านบาท ปิดที่ 24.90 บาท ลดลง 1.10 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,235.96 ล้านบาท ปิดที่ 140.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,171.25 ล้านบาท ปิดที่ 11.30 บาท ลดลง 0.60 บาท สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์บวก 44.28 จุด ปิดที่ 2,834.57 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศ พบว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์ สิงคโปร์ บวก 21.59 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 2,790.29 จุด ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ปิดบวกเมื่อคืนนี้ หลังรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานที่ดีเกินคาด ปิดที่ 21,196.87 จุด เพิ่มขึ้น 408.9 จุด หรือ 1.97%
****แดงถ่อยจ่อกดดัชนีเหลือแค่670จุด
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า “สุเทพ” เตรียมเสนอครม.ประกาศใช้กม.ความมั่นคงฯในกทม. & ปริมณฑล 11-23 มี.ค.นี้ โดยจะเสนอให้ครม.พิจารณาในวันนี้(9มี.ค.) หวังควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯแบบยืดเยื้อที่จะเริ่มตั้งแต่ 12 มี.ค. ถือว่าเป็นการ “กันไว้ดีกว่าแก้” และไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ต้องตกใจกับการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะก่อนหน้านี้ก็ประกาศใช้มาหลายครั้งแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสงบ และ สันติจริงหรือไม่? เพราะหากมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงหรือปะทะกัน จนรัฐบาทต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ กฎอัยการศึก คราวนี้ตลาดหลักทรัพย์เสี่ยงที่จะต้องลงมาเริ่มต้นใหม่ๆบริเวณ670 จุด โดยกลุ่มแรกที่เป็นเป้าที่จะโดนขายคือ “ท่องเที่ยว” โดยเฉพาะ “THAI” ที่ตอนนี้วิ่งเลยเป้าในเชิงพื้นฐานปี 2010 ที่ 23 บาท ไปแล้ว
ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงนี้คือ “เล่นรอบจบในวัน” เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ตลอดเดือนมี.ค.นี้ 670-740 จุด
****โบรกฯแนะจับตาแรงซื้อต่างชาติ
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ แม้จะมีแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆที่ประกาศออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ทิศทางการฟื้นตัว รวมทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่รัฐบาลเตรียมประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯมาดูแลสถานการณ์การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง
ทั้งนี้ จะส่งผลทำให้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(9มี.ค.) คาดว่าจะยังแกว่งตัวแคบๆ เช่นเดียวกับวานนี้ เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังกดดันตลาดหุ้นไทย เพราะทุกคนยังรอดูสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งการที่จะประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงฯ มีทั้งผลดีและผลเสีย โดยคนบางกลุ่มอาจอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการป้องกันไว้ก่อน แต่อีกมุมมองอาจเห็นว่าเป็นการสร้างความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ ซึ่งรัฐบาลอาจประเมินแล้วว่าสถานการณ์จะรุนแรงต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาหลายครั้งที่มีการประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก
"นักลงทุนต้องรอดูความชัดเจนด้านการเมืองที่แท้จริง เพราะมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ คงต้องรอดูช่วงปลายสัปดาห์ ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เกิดขึ้นจริงก็คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก โดยดูจากหลายครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ จึงให้กรอบการลงทุนวันนี้ โดยแนวรับที่ 715-710 และแนวต้านที่ 725-730 จุด”
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผช.ผอ.อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปรับขึ้นได้ในช่วงเช้า จากนั้นเจอแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะ ๆ สวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลเรื่องการเมืองในประเทศมากขึ้น หลังกลุ่มเสื้อแดงเตรียมออกมาชุมนุมใหญ่ในสุดสัปดาห์นี้ ดังนั้นแนวโน้มตลชาดหุ้นไทยวันนี้ มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวนมากทั้งในแดนบวก และลบ เพราะปัจจัยลบทางการเมืองจะกดดันบรรยากาศการลงทุนตลอดทั้งสัปดาห์ และหากรัฐประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคง เพื่อควบคุมสถานการณ์ จะยิ่งสร้างความกังวลให้นักลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่า จะชะลอลงหรือไม่ ประเมินแนวรับที่ 709 จุด และแนวต้าน 726 จุด กลยุทธ์ แนะนำเทขายทำกำไรเพื่อลดพอร์ตลงทุน
***APเตรียมแผนสองรับมือม็อบเสื้อแดง
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มีนาคมที่จะถึงนี้ยังไม่สามารถประเมินได้แต่ที่แน่ๆ คือมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างแน่นอน ส่วนกระทบมากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเอกชน นักลงทุนได้เตรียมความพร้อมไว้รองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยในส่วนของบริษัทก็เช่นเดียวกัน แต่แผนจะออกมาในรูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงจากการชุมนุมว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด
ส่วนแผนการดำเนินงานปี 53 จากวันนี้ไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 54 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 19 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 29,710 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ ทั้งทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว จำนวน 15 โครงการ มูลค่า 19,010 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 10,700 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายยอดขายไว้ที่ 21,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบ 65% ส่วนอีก 35% มาจากคอนโดมิเนียม