xs
xsm
sm
md
lg

ตปท.-สถาบันแห่ทิ้งหุ้น หนีปัญหายึดทรัพย์แม้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – จับตาหุ้นไทยช่วงกุมภาพันธ์น่าวิตก แม้ดัชนีมีแนวโน้มรีบาวด์ แต่ปัจจัยการเมืองยังกดดันหนัก จากสัญาณต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง ไม่กล้าถือยาว เพราะความหวั่นเกรงกรณีการเคลื่อนไหวของม๊อบเสื้อแดง และการขู่ฆ่าผู้พิพากษา ตามเกมบีบกดดันหวังผลคำตัดสินยึดทรัพย์ “แม้ว”ช่วงปลายเดือนนี้ เช่นเดียวกับสถาบัน และพรอต์ลงทุนโบรกเกอร์ที่เทขายตั้งแต่ต้นปีขายรวมกันกว่า 18,000 ล้านบาท ล่าสุดวานนี้(1ก.พ.)ช่วงเช้าดัชนีร่วง 10 จุด ก่อนรีบาวด์กลับขึ้นมาบวก 1.06 จุดได้ในช่วงท้ายของวัน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ ยังโดนปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสถานการณ์ภายในประเทศ ซึ่งสร้างความกังวลต่อนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมากจนนำมาสู่การขายสุทธิหุ้นไทยตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยวานนี้ (1ก.พ.)เพียงเปิดตลาดในช่วงเช้า ดัชนีลดลงไปถึง 10 จุด ซึ่งมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพื้นฐานขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป)ออกมามาก ก่อนปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยช่วงท้ายตลาด

โดยดัชนีปิดที่ 697.61 จุด เพิ่มขึ้น 1.06 จุด หรือ 0.15% มูลค่าการซื้อขาย 13,905.58 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 697.61 จุด และต่ำสุดที่ 685.69 จุด

ประเด็นดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า เป็นการฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค หลังตลาดฮ่องกงปิดบวกได้จากช่วงเช้าที่ลบไปมาก อีกทั้งเกิดเทคนิคเคิลรีบาวน์ในดัชนีหุ้นไทย จากที่อยู่ในเขต Oversold และปัจจัยจากภายนอกประเทศยังเป็นเรื่องเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่า โดยดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 20,243.75 จุด เพิ่มขึ้น 121.76 จุด หรือ 0.61 % ด้านดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดที่ 10,205.02 จุด เพิ่มขึ้น 6.98 จุด หรือ 0.07 %

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวน้อยกว่าตลาดอื่นๆในภูมิภาค เนื่องมาจากปัจจัยลบภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเด็นการลอบสังหารผู้พิพากษา และการชุนมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ก่อนศาลตัดสินในคดียึดทรัพย์นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร

โดยมูลค่าการซื้อขายสุทธิ เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอีก 1,218.02 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 756.52 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 27.51 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 433.98 ล้านบาท แต่เมื่อย้อนหลังกลับไปตั้งแต่ต้นปี (1ม.ค. 2553) พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิไปแล้ว 8,697.18 ล้านบาท ถัดมาคือสถาบันขายสุทธิ 7,452.51 ล้านบาท และบัญชีบล.ขายสุทธิ 2,040.95 ล้านบาท รวมเป็นการขายกว่า 18,000 ล้านบาท

**โบรกฯมองหุ้นมีโอกาสรีบาวด์
นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายวานนี้ได้ฟื้นขึ้นตามตลาดภูมิภาคที่ต่างฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงสามารถปิดตลาดอยู่ในแดนบวกได้จากช่วงเช้าที่ลบไปมาก ซึ่งดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้น ฮ่องกงปิดวันนี้ที่ 20,243.75 จุด บวก 121.76 จุด อีกทั้งช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยเกิดเทคนิคเคิลรีบาวน์ หลังจากที่ได้อยู่ในเขต Oversold ทำให้เชื่อว่าสัปดาห์นี้ตลาดฯน่าจะบวกได้แล้ว เพราะปัจจัยภายนอกประเทศที่มีอยู่ก็เป็นปัจจัยเดิม ๆ เพียงแต่ตอนนี้ก็คอยดูว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะจะแข็งค่าขึ้นเมื่อไร จากปัจจุบันที่แข็งค่าอยู่ เพราะรับผลมาจากเงินยูโรถูก short อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาหนี้สินของกรีซ สเปน และโปรตุเกส แต่เชื่อว่าจะเป็นการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯเพียงระยะสั้นเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ประเมินว่า เม็ดเงินต่างชาติขณะนี้จะพักอยู่ที่ตลาดเงิน ยังไม่ใช่เป็นการถอนทุนออกไปจากภูมิภาคเอเชีย เพราะเงินสกุลต่าง ๆ ในแถบเอเชียยังแข็งค่าอยู่ ส่วนปัจจัยภายในประเทศ มองว่าเรื่องของการเมืองยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(2 ก.พ.) ตลาดหุ้นไทยยังมีลุ้นรีบาวน์ได้ต่อ โดยแนวรับอยู่ที่ 690 จุด และแนวต้าน 702-706 จุด

**KESTฟันธงการเมืองปัจจัยลบตัวใหญ่
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้(1-5ก.พ.)ว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคงมีความผันผวนสูง โดยคาดว่าจะยังถูกกดดันทั้งจากการเมืองภายในประเทศที่ร้อนแรงขึ้น และปัจจัยจากต่างประเทศที่ยังคงมีทิศทางค่อนข้างเป็นลบ ทั้งจากการออกมาตรการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรปอย่าง กรีซ สเปน และโปรตุเกส รวมทั้งค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จนส่งผลกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นการลงทุนสัปดาห์นี้ จึงเน้นเข้าลงทุนในหุ้นที่มีลักษณะ Defensive และมีอัตราการจ่ายปันผลที่สูง รวมทั้งมีแนวโน้มผลประกอบการปี 53 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้แก่ RATCH, AIT, TASCO, SPALI และ KBANK

ทั้งนี้ KEST ได้แนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในพอร์ตเป็นถือเงินสด 30%, หุ้น 70% โดยแบ่งพอร์ตหุ้น(70%) ออกเป็น Buy and Hold 100% เพิ่ม AIT, RATCH, และ SPALI เข้าพอร์ต, ขายตัดขาดทุน PTTEP, SSI และ MAJOR, ลดน้ำหนัก KBANK ลงจาก 25% เหลือ 20%

**ต่างชาติวิตกเทขายต่อเนื่อง
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์. บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวถึงภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ ว่า ดัชนีฯแกว่งตัวค่อนข้างมาก โดยในช่วงเช้าดัชนีฯเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจาก ปัจจัยลบในประเด็นทั้งในและต่างประเทศกดดัน ทั้งความกังวลต่อมาตรการชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯและจีน รวมถึงประเด็นการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีความแน่นอน ยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความวิตกกังวลจนขายสุทธิต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในการซื้อขายช่วงบ่าย ดัชนีฯเริ่มรีบาวน์และเคลื่อนไหวในแดนบวก เนื่องจากตลาดหุ้นภูมิภาคเริ่มฟื้นตัวและปิดตลาดในแดนบวกได้ แต่ประเด็นการเมืองภายในประเทศยังคงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนต่อไป จนเกิดแรงขายออกมาระยะสั้น ซึ่งทำให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด

สำหรับแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะผันผวนสูง เพราะได้รับแรงกดดันจากประเด็นการเมืองภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯยังมีแนวโน้มฟื้นตัว เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีฯปรับตัวลดลง ทำให้ทางเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ เลือกซื้อหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง เช่น AIT-BCP-TK โดยมี Dividend Yield มากกว่า 5% ส่วนการลงทุนระยะยาวสามารถทยอยสะสมได้ โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 690 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 708 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น