xs
xsm
sm
md
lg

จ่อหั่นเป้าหุ้นพลังงาน-ปิโตรฯ แนะเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักลงทุนคลายกังวลปัญหามาบตาพุด หวนคืนตลาดหุ้นไทย หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดกลับ 13 จุด ปิดที่ 706.84 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท บวกแรงผลักดันจากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ด้านนักวิเคราะห์แนะจับตาปัญหามาบตาพุดใกล้ชิด หลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเตรียมปรับลดประมาณการหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีใหม่

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วาานนี้ (3 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า และสามารถเคลื่อนไหวอยู่แดนบวกตลอดทั้งวัน โดยมีแรงซื้อขายมาให้หุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างเยอะในวันก่อนหน้า แต่ปัยจัยหลักที่นักลงทุนยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ เรื่องความคืบหน้าโครงการมาบตาพุด ที่คาดว่าจะยังคงยืดเยื้อต่อไป

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวแตะระดับต่ำสุดในช่วงเช้าที่ 695.81 จุด ก่อนจะขยับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งปิดการซื้อขาย ณ ระดับสูงสุดที่ 706.84 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 13.33 จุด หรือคิดเป็น 1.92% มูลค่าการซื้อขายรวม 24,433.93 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 18.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซ์อสุทธิ 29.73 ล้านบาท พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 681.23 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 692.83 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 227 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือคิดเป็น 0.89% มูลค่าการซื้อขาย 2,140.98 ล้านบาท บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) ปิดที่ 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 7.50% มูลค่า 1,498.81 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 86.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือ 5.79% มูลค่า 1,330.25 ล้านบาท

ส่วนความเคลื่อนไหวหลักทรัพย์อื่นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโครงการมาบตาพุด คือ PTTCH ปิดที่ 72.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 645.517 ล้านบาท , PTTAR ปิดที่ 23.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 3.48% มูลค่า 775.966 ล้านบาท , SCC ปิดที่ 223.00 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่า 1,279 ล้านบาท, TPC ปิดที่ 18.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.66% มูลค่าก 23.250 ล้านบาท, MILL ปิดที่ 7.55 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่า 35.073 ล้านบาท และ GSTEEL ปิดที่ 0.42 บาท มูลค่า 19.594 ล้านบาท

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในวันก่อนหน้า หลังได้รับแรงกดดันจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับลงทุน 65 โครงการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาสนับสนุนการลงทุน โดยดัชนีตลาดหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 690-715 จุด ส่วนกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะนัดชุมนุม เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ในวันที่ 10 ธ.ค.52 ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะรอซื้อเมื่อดัชนีตลาดหุ้นอ่อนตัวลง

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก แต่จะไม่หวือหวามากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนได้ตอบรับกับกระแสข่าวลบจากการที่ศาลปกครองสูงสุดได้สั่งระงับ 65 โครงการไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยการเมืองอย่างใกล้ชิด

“การลงทุนในช่วงนี้ แนะเก็งกำไรในหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหามาบตาพุด อาทิ PTTAR, IRPC, TVO, MCOT, TTA และ KBANK แต่ก็ทยอยซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับมาบตาพุด เพราะเชื่อว่าในอนาคตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากเกิดความชัดเจน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 698-693 จุด และแนวต้านที่ 713-718 จุด”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนต้องติดตามและระมัดระวังปัญหาโครงการมาบตาพุดที่จะยังคงยืดเยื้อต่อไป บวกกับนักวิเคราะห์เองจะต้องปรับประมาณการบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวใหม่ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่อาจจะมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงด้วย เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีตลาดหุ้นไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น