ASTVผู้จัดการรายวัน - เอ็กโกทุ่มกว่า 6 พันล้านบาทเพื่อขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศในปีนี้ มั่นใจกลางปีนี้รู้ผลเจรจาซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 จากอิตาเลียนไทย คาดซื้อหุ้นได้แค่ 10% พร้อมทั้งเร่งเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มเติม วางเป้าหมาย 5ปีข้างหน้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 พันเมกะวัตต์ วางเป้าหมายปีนี้กำไรลด 10%จากปีก่อน รอลุ้นดีลซื้อโรงไฟฟ้าเพิ่มหนุนกำไรโตกว่าเป้าหมาย
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทฯมีแผนจะซื้อหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ขนาดกำลังผลิต 1,086 เมกะวัตต์ในสปป.ลาว จากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)(ITD) ที่มีแผนจะขายทั้งหมดที่ถืออยู่ 15% โดยจะเจรจาซื้อหุ้นภายหลังจากโครงการดังกล่าวจะผลิตไฟเชิงพาณิชย์จำนวนได้ในปลายเดือนมี.ค.นี้ โดยใช้สิทธิซื้อหุ้นก่อนในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม
เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ทางอีดีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของฝรั่งเศสในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 35% มีสิทธิ์ซื้อหุ้นจาก ITD เพิ่มไม่เกิน 5% ทำให้สัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นเพิ่มในโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ของเอ็กโกเหลือแค่ 10% คาดว่าจะรู้ผลการซื้อหุ้นได้ประมาณมิ.ย.นี้ หากการเจรจาสำเร็จโครงสร้างการถือหุ้นน้ำเทิน 2 จะเปลี่ยนเป็น อีดีเอฟ 40% เอ็กโกกรุ๊ป 35% ลาว 25%
"โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 จะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 2 เครื่องก่อนในช่วงมี.ค.เพื่อป้อนไฟฟ้าเข้าไทยในช่วงฤดูร้อน ซึ่งการเจรจาซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2จากITD จะรู้ผลไม่เกิน 2-3 เดือนหลังจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว ซึ่งเอ็กโกมีความตั้งใจที่จะซื้อหุ้นโครงการนี้เนื่องจากเป็นโครงการที่ดี หากอีดีเอฟจะขายหุ้นก็พร้อมที่จะซื้อเช่นกัน เบื้องต้นคาดว่าเอ็กโกจะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2ปีนี้ประมาณ 500 ล้านบาท "
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 55 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดลพบุรี โดยโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ขณะนี้ได้เข้าไปศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะมีข้อสรุปผลศึกษาอย่างเร็วที่สุดเดือน เม.ย-พ.ค.2553 และอย่างช้าภายในสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทต้องการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการลงทุน โดยเฉพาะกฎระเบียบกฎหมาย
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ เอ็กโกจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีความพร้อมที่จะลงทุนอยู่แล้ว โดยมีเงินสดในมือหลังจากจ่ายเงินปันผลและดอกเบี้ยจ่ายในปีนี้เหลืออยู่ 3,000 ล้านบาท และมีสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่พร้อมให้กู้อีก 4,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมแต่อย่างใดแม้ว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้จะต่ำแต่ถ้ากู้เงินจากสถาบันการเงินดอกเบี้ยจะต่ำกว่า ซึ่งบริษัทฯมีความสามารถที่จะหาเงินกู้เพิ่มได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทตามอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า หากมีโครงการที่มีศักยภาพเข้ามา นอกเหนือจากที่วางแผนลงทุนเอาไว้
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนการดำเนินธุรกิจใน 5ปีข้างหน้า (2553-2557) จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 1,000 เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 4,252.34 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ หากไม่มีการเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(ไอพีพี)เพิ่มเติมในอีก 5ปีข้างหน้า ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 70:30 จากปัจจุบัน 90:10
นางพิกุล ศรีศาตรา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริการองค์กร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประมาณการผลกำไรของเอ็กโกในปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย 10%จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 7,936 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA)โรงไฟฟ้าหลายโครงการที่จะมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอม ขณะที่การรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2
ในปีนี้จะอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่มากเพียงพอที่จะชดเชยการรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผลกำไรในปี 2553 อาจจะสูงกว่าปีที่แล้วได้ หากบริษัทฯสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ รวมไปถึงดีลเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเข้ามาไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และการซื้อหุ้นเพิ่มในโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ที่สปป.ลาว ทำให้รับรู้กำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯมั่นใจว่าสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดีกว่าปีที่แล้ว
ซึ่งจ่ายปันผลไป 5.25 บาท/หุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.24 พันล้านบาท เนื่องจากรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปส์เพิ่มขึ้น หลังจากเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 26% จาก 23% ในเดือน มี.ค.52 ในปีนี้บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า 3 แห่งในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี, โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 และ โรงไฟฟ้าขนอม ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าบนเรือที่ขนอมหน่วยที่ 1และ 2 รวม 150 เมกกะวัตต์ รองรับโรงแยกก๊าซฯที่ขนอม ของบมจ.ปตท ที่ต้องเร่งเครื่องผลิต LPG เพื่อลดการนำเข้าหลังจากโรงก๊าซ 6 หลังไม่สามารถเดินเครื่องได้
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทฯมีแผนจะซื้อหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ขนาดกำลังผลิต 1,086 เมกะวัตต์ในสปป.ลาว จากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)(ITD) ที่มีแผนจะขายทั้งหมดที่ถืออยู่ 15% โดยจะเจรจาซื้อหุ้นภายหลังจากโครงการดังกล่าวจะผลิตไฟเชิงพาณิชย์จำนวนได้ในปลายเดือนมี.ค.นี้ โดยใช้สิทธิซื้อหุ้นก่อนในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม
เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ทางอีดีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของฝรั่งเศสในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 35% มีสิทธิ์ซื้อหุ้นจาก ITD เพิ่มไม่เกิน 5% ทำให้สัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นเพิ่มในโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ของเอ็กโกเหลือแค่ 10% คาดว่าจะรู้ผลการซื้อหุ้นได้ประมาณมิ.ย.นี้ หากการเจรจาสำเร็จโครงสร้างการถือหุ้นน้ำเทิน 2 จะเปลี่ยนเป็น อีดีเอฟ 40% เอ็กโกกรุ๊ป 35% ลาว 25%
"โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 จะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 2 เครื่องก่อนในช่วงมี.ค.เพื่อป้อนไฟฟ้าเข้าไทยในช่วงฤดูร้อน ซึ่งการเจรจาซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2จากITD จะรู้ผลไม่เกิน 2-3 เดือนหลังจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว ซึ่งเอ็กโกมีความตั้งใจที่จะซื้อหุ้นโครงการนี้เนื่องจากเป็นโครงการที่ดี หากอีดีเอฟจะขายหุ้นก็พร้อมที่จะซื้อเช่นกัน เบื้องต้นคาดว่าเอ็กโกจะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2ปีนี้ประมาณ 500 ล้านบาท "
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 55 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดลพบุรี โดยโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ขณะนี้ได้เข้าไปศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะมีข้อสรุปผลศึกษาอย่างเร็วที่สุดเดือน เม.ย-พ.ค.2553 และอย่างช้าภายในสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทต้องการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการลงทุน โดยเฉพาะกฎระเบียบกฎหมาย
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ เอ็กโกจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีความพร้อมที่จะลงทุนอยู่แล้ว โดยมีเงินสดในมือหลังจากจ่ายเงินปันผลและดอกเบี้ยจ่ายในปีนี้เหลืออยู่ 3,000 ล้านบาท และมีสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่พร้อมให้กู้อีก 4,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมแต่อย่างใดแม้ว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้จะต่ำแต่ถ้ากู้เงินจากสถาบันการเงินดอกเบี้ยจะต่ำกว่า ซึ่งบริษัทฯมีความสามารถที่จะหาเงินกู้เพิ่มได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทตามอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า หากมีโครงการที่มีศักยภาพเข้ามา นอกเหนือจากที่วางแผนลงทุนเอาไว้
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนการดำเนินธุรกิจใน 5ปีข้างหน้า (2553-2557) จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 1,000 เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 4,252.34 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ หากไม่มีการเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(ไอพีพี)เพิ่มเติมในอีก 5ปีข้างหน้า ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 70:30 จากปัจจุบัน 90:10
นางพิกุล ศรีศาตรา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริการองค์กร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประมาณการผลกำไรของเอ็กโกในปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย 10%จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 7,936 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA)โรงไฟฟ้าหลายโครงการที่จะมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอม ขณะที่การรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2
ในปีนี้จะอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่มากเพียงพอที่จะชดเชยการรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผลกำไรในปี 2553 อาจจะสูงกว่าปีที่แล้วได้ หากบริษัทฯสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ รวมไปถึงดีลเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเข้ามาไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และการซื้อหุ้นเพิ่มในโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ที่สปป.ลาว ทำให้รับรู้กำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯมั่นใจว่าสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดีกว่าปีที่แล้ว
ซึ่งจ่ายปันผลไป 5.25 บาท/หุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.24 พันล้านบาท เนื่องจากรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปส์เพิ่มขึ้น หลังจากเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 26% จาก 23% ในเดือน มี.ค.52 ในปีนี้บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า 3 แห่งในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี, โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 และ โรงไฟฟ้าขนอม ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าบนเรือที่ขนอมหน่วยที่ 1และ 2 รวม 150 เมกกะวัตต์ รองรับโรงแยกก๊าซฯที่ขนอม ของบมจ.ปตท ที่ต้องเร่งเครื่องผลิต LPG เพื่อลดการนำเข้าหลังจากโรงก๊าซ 6 หลังไม่สามารถเดินเครื่องได้