เพราะนช.ทักษิณ เชื่อในผลวิจัยที่ว่าคนไทยรับข่าวสารผ่านทางโทรทัศน์ถึง 80% ทำให้ในยุคที่เขาเรืองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงเลือกที่จะควบคุมข่าว และการแสดงความคิดเห็นที่ออกมาทางทีวีมากเป็นพิเศษ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ แทรกแซง แทรกซื้อ คุมสื่อไม่หยุดยั้ง
...ทั้งการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่วิพากษ์รัฐบาลอย่างดุเดือด
...ส่งแกรมมี่ฮุบมติชน ปิดปากหนังสือพิมพ์ที่คนเคยให้ความเชื่อถือ
...ยึดสื่อเสรี อย่างไอทีวี ด้วยการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ แทรกแซงการทำหน้าที่กองบก. กุมสภาพภายในทั้งหมด จนเกิด “กบฏไอทีวี”
...ยังไม่รวมงบรัฐบาลจำนวนมหาศาลที่ทุ่มซื้อโฆษณาช่องฟรีทีวีเพื่อทำให้ สื่อฟรีทีวีปิดปากตนเอง ดำเนินงานในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล แต่อาจไม่เกิดประโยชน์ต่อรัฐ
จึงไม่แปลก ที่ยุคทักษิณ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ จึงแทบไม่มีโอกาสได้โผล่หน้าออกมาให้สัมภาษณ์ทีวีช่องใดๆ ตรงข้ามกับรัฐมนตรีของไทยรักไทย ที่มีโอกาสตบเท้า แตะมือสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเสนอหน้าผ่านสื่อกันเป็นรายวัน
...มาถึงวันนี้ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมื่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง และได้โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีที่เข้าไปดูแลสื่ออย่างใกล้ชิด แต่การทำงานตลอดช่วงกว่าปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า งานด้านการสื่อสารมวลชนของรัฐบาลชุดนี้ถือว่า “สอบตก” อย่างไม่น่าให้อภัย แทนที่จะก่อให้เกิดความมั่นใจ และเชื่อมั่นในประเทศไทย ดังทีมรายการของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นการทำลายความเชื่อมั่น และผลักดันประชาชนให้ออกห่างจากรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการร้องเพลงชาติหน้าเสาธง 76 จังหวัดทั่วประเทศ ที่รัฐมนตรีสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ทุ่มทุนงบประมาณหลายสิบล้าน ตระเวนไปจัดงานจังหวัดนู้นทีจังหวัดนี้ที จุดมุ่งหมายบอกต้องการจะสร้างความสามัคคี และกระตุ้นจิตสำนึกรักชาติ แต่เอาไปเอามา ร้องมาแล้วทั่วประเทศ ผลโพลบอก คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าร้องเพลงชาติอย่างเดียวช่วยอะไรได้
เพราะ..คนไทยส่วนใหญ่ก็ร้องและเคารพธงชาติกันเช้าเย็นเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และบางคนก็ทำมาก่อนสาทิตย์จะเกิดด้วยซ้ำ
เพราะ...กิจกรรมที่ทำไม่อาจต่อยอดแห่งประโยชน์อันใดให้กับสังคม เว้นแต่จะเป็นประโยชน์กับบริษัทรับจัดอีเว้นท์ที่อยู่รายล้อมท่านรัฐมนตรี
มิหนำซ้ำกิจกรรมนี้ ยังเป็นผลงานที่ตบหน้ารัฐบาลอันมีผู้นำจบออกซฟอร์ด แต่กลับออกมาตราสร้างสามัคคีที่ดูดาดๆ บ๊านบ้าน ชนิดที่นักเรียน กศน.เขายังไม่คิดจะทำ
ขณะที่รายการ “นายกฯ พบประชาชน” ก็เช่นกัน ในอดีตต้องยอมรับว่ารายการลักษณะนี้เกิดขึ้นในบ้านเรายุคแรก ก็ในสมัย นช.ทักษิณ ที่ไปลอกเอารูปแบบเดียวกับที่ผู้นำสหรัฐฯ คุยกับประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ “President’s Weekly Radio Address” ที่จะใช้พูดคุยนโยบายที่รัฐบาลจะผลักดันสู่มือประชาชน แต่ครั้ง ทักษิณ กลับถูกนำมาใช้เป็น เครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมให้ตนเอง และทำลายฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากเกินไป จนถูกกล่าวขานว่า เป็นอาวุธทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่มีอานุภาพรุนแรง ถึงกับมีงานวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้าฯ ออกมาชี้ว่า “รัฐบาลพยายามครอบงำสังคม” ผ่านรายการดังกล่าว
แต่พอมาถึงยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีรัฐมนตรีกำกับดูแลสื่อ ชื่อสาทิตย์ ต้องยอมรับตามตรงว่า “รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” วันนี้ ทั้งขาดเสน่ห์ และสาระให้ติดตาม เปรียบไปก็เหมือนละครเกรดต่ำ ที่คนดูน้อย แม้พระเอกของเรื่องจะหล่อเหลาการศึกษาดี มีมารยาท เรียกครบเครื่อง แต่ติดตรงที่ตัวเรื่องเข็นยังไงก็ดังยาก คนเขียนบทห่วย ผู้กำกับมือไม่ถึง ทำงานกล้าๆ กลัวๆ ฉลาดในเรื่องไม่ควรฉลาด ขณะเดียวกันก็โง่เหลือเชื่อ...ในเรื่องไม่ควรโง่เช่นกัน
ไล่ตั้งแต่การประกบคู่ตัวเอกในรายการแบบขาดๆ เกินๆ เน้นแต่รูปแบบ ให้คนสนใจติดตาม เอาดาราบ้าง พิธีกรดาราบ้าง มานั่งถามคำถามที่คนระดับนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาใช้เวลาของสถานีรัฐมาตอบออกอากาศแม้แต่น้อย อาทิ ท่านนายกฯ ใช้อายครีมหรือเปล่า ยี่ห้ออะไรคะ ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง ชอบกินอะไรที่สุด สับเพเหระ บล่ะ บล่ะ บล่ะ... ถ้าโชคดีหน่อย วันไหนมีเวลาก็หาทางหลบเสื้อแดงพ้นได้ ก็ให้พระเอกของเรื่องไปเดินตอบคำถามท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ ราวกับเป็นวิดีโอคาราโอเกะก็ไม่ปาน
ทุกครั้งที่ดูงานสื่อสารมวลชนของคุณสาทิตย์ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ทำให้ต้องหวนไปนึกถึงสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่แม้จะอยู่ในช่วงที่ล้มลุกคลุกคลาน ด้วยเพราะเป็นรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร ต้องเข้าไปจัดการกับฝ่ายต่อต้านที่เคยเป็นไม้เป็นมือในระบอบทักษิณ แต่การทำงานของทีมภายใต้การดูแลของ อาจารย์ธีรภัทธ์ เสรีรังสรรค์ และความช่วยเหลือในบางช่วงจาก ดร.เสรี วงษ์มณฑา ต้องยอมรับว่า หลายกิจกรรมที่มีความพยายามจะระดมความคิดเห็นจากสื่อมวลชนกับรัฐบาลในรูปแบบที่น่าสนใจ และเรียกได้ว่า “ใจถึง” กว่ารัฐมนตรีสาทิตย์มากนัก
เช่น การจัดคิว ให้บิ๊กบังไปตระเวนตอบปัญหาเคลียร์ใจสื่อ ระดับบิ๊กหลายค่าย ทั้งที่รู้ว่าจะถูกรุกไล่ด้วยข้อกล่าวหา ฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ได้เห็นภาพหัวหน้าคณะปฏิวัติไปนั่งตอบคำถามแบบตรงไปตรงมา กับสองศรีพี่น้องเทพชัย หย่อง–สุทธิชัย หย่อง และอีกหลายเจ้า
กระทั่ง ภาพของการดินเนอร์ ทอล์ก – ลันช์ ทอล์ก ที่ตัวนายกฯ สุรยุทธ์เชิญระดับบก.หลายหนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าวอาวุโส ทุกค่ายเข้าไประดมสมอง ถามในสิ่งที่อยากรู้ และแนะในเรื่องที่อยากแนะ โดยไม่ต้องมีการถ่ายทอดสด แต่เนื้อหาทั้งหมดบนโต๊ะอาหาร ก็สามารถส่งสารถึงผู้อ่านผ่านการรายงานของนักข่าวหนังสือพิมพ์ได้อย่างไม่ตกหล่น และเป็นประโยชน์ยิ่ง ทำให้เห็นถึงความพยายามของทุกฝ่าย ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อจะฝ่าสถานการณ์วิกฤตของบ้านของเมืองไปให้ได้
นั่นยังไม่นับรวมความใจถึง ที่แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่ถึง 10 วัน แต่ครั้งนั้นรัฐบาลก็กล้าให้รายการที่ให้ปัญญาอย่าง “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของสนธิ ลิ้มทองกุลได้ออกอากาศ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว หลังการโค่นอำนาจระบอบทักษิณ... ยังไม่รวมงานในมือของกระทรวงไอซีที ภายใต้การทำงานของอาจารย์สิทธิชัย โภไคยอุดม กับภารกิจในการสกัดกั้นเว็บหมิ่นสถาบัน
สำหรับผลงานของคุณสาทิตย์ ล่าสุด ที่ผู้เขียนรับไม่ได้เป็นการส่วนตัว และสถานีโทรทัศน์ ASTV ก็ได้มีการแสดงท่าทีไปแล้ว คือกรณีที่ทีมงาน รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ล่าสุด มีแผนจะจัดรูปแบบรายการในวันอาทิตย์นี้ เพื่อเรียกเรตติ้ง ความมันส์ ความฮา ...แต่ขาดซึ่งสำนึกรับผิดชอบ
โดยท่านเลือกที่จะส่งเสียงตามสายมาเชิญ คนข่าวของเอเอสทีวีอย่างเสียไม่ได้ให้ร่วมรายการ ก่อนจะมาเฉลยในภายหลังว่า ต้องการเชิญมาใน แมตช์หยุดโลก แดง-เหลืองฟาดฝีปากกลางจอ โดยจัดให้คนข่าวเอเอสทีวีไปนั่งประกบคู่กับคนฝั่ง Voice tv กระบอกเสียงทักษิณที่เพิ่งเสียบปลั๊กออกอากาศเฉพาะกิจได้ไม่กี่เดือน
ฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บถึงความตั้งใจของรัฐบาล ที่ต้องการจะตอกย้ำสารถึงประชาชน “เรื่องความขัดแย้งระหว่างสองสีที่มีรัฐบาลเป็นฮีโร่อยู่ตรงกลาง” หวังจะจัดฉายรายการสัปดาห์นี้ ให้สอดรับกับ มิวสิควิดีโออุบาทว์ที่รัฐบาลสั่งฉายไปทั่วโรงภาพยนตร์ เอสเอฟ ซีเนม่า...สร้างภาพเหลืองแดงขัดแย้ง แล้วหาทางย้อมสีอื่นที่อ้างว่าเป็นกลางทับเสีย....
ท่านรัฐมนตรีคะ..ลำพัง ท่านไม่กล้าให้เวทีเดี่ยวๆ กับเอเอสทีวี เพราะเกรงท่านนายกฯ จะตอบคำถามตรงๆ ยากๆ คำถามนอกสคริปต์ไม่ได้ ...ไม่เป็นไร
ท่านไม่กล้าเชิญเราไปร่วมเป็นหนึ่งในตัวแทนของสื่อมวลชนจากทุกที่ อย่างที่ควรจะเป็นไม่เป็นไร ....แต่ท่านควรจะเลิกเสียทีกับพฤติกรรมอำมหิต...น่าสะอิดสะเอียดเหล่านี้
เพราะสุดท้าย ท่านจะเป็นไม่ต่างจากรัฐบาลชั่วทั่วๆ ไป..ที่ใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือยกหางตัวเอง
...ทั้งการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่วิพากษ์รัฐบาลอย่างดุเดือด
...ส่งแกรมมี่ฮุบมติชน ปิดปากหนังสือพิมพ์ที่คนเคยให้ความเชื่อถือ
...ยึดสื่อเสรี อย่างไอทีวี ด้วยการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ แทรกแซงการทำหน้าที่กองบก. กุมสภาพภายในทั้งหมด จนเกิด “กบฏไอทีวี”
...ยังไม่รวมงบรัฐบาลจำนวนมหาศาลที่ทุ่มซื้อโฆษณาช่องฟรีทีวีเพื่อทำให้ สื่อฟรีทีวีปิดปากตนเอง ดำเนินงานในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล แต่อาจไม่เกิดประโยชน์ต่อรัฐ
จึงไม่แปลก ที่ยุคทักษิณ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ จึงแทบไม่มีโอกาสได้โผล่หน้าออกมาให้สัมภาษณ์ทีวีช่องใดๆ ตรงข้ามกับรัฐมนตรีของไทยรักไทย ที่มีโอกาสตบเท้า แตะมือสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเสนอหน้าผ่านสื่อกันเป็นรายวัน
...มาถึงวันนี้ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมื่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง และได้โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีที่เข้าไปดูแลสื่ออย่างใกล้ชิด แต่การทำงานตลอดช่วงกว่าปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า งานด้านการสื่อสารมวลชนของรัฐบาลชุดนี้ถือว่า “สอบตก” อย่างไม่น่าให้อภัย แทนที่จะก่อให้เกิดความมั่นใจ และเชื่อมั่นในประเทศไทย ดังทีมรายการของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นการทำลายความเชื่อมั่น และผลักดันประชาชนให้ออกห่างจากรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการร้องเพลงชาติหน้าเสาธง 76 จังหวัดทั่วประเทศ ที่รัฐมนตรีสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ทุ่มทุนงบประมาณหลายสิบล้าน ตระเวนไปจัดงานจังหวัดนู้นทีจังหวัดนี้ที จุดมุ่งหมายบอกต้องการจะสร้างความสามัคคี และกระตุ้นจิตสำนึกรักชาติ แต่เอาไปเอามา ร้องมาแล้วทั่วประเทศ ผลโพลบอก คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าร้องเพลงชาติอย่างเดียวช่วยอะไรได้
เพราะ..คนไทยส่วนใหญ่ก็ร้องและเคารพธงชาติกันเช้าเย็นเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และบางคนก็ทำมาก่อนสาทิตย์จะเกิดด้วยซ้ำ
เพราะ...กิจกรรมที่ทำไม่อาจต่อยอดแห่งประโยชน์อันใดให้กับสังคม เว้นแต่จะเป็นประโยชน์กับบริษัทรับจัดอีเว้นท์ที่อยู่รายล้อมท่านรัฐมนตรี
มิหนำซ้ำกิจกรรมนี้ ยังเป็นผลงานที่ตบหน้ารัฐบาลอันมีผู้นำจบออกซฟอร์ด แต่กลับออกมาตราสร้างสามัคคีที่ดูดาดๆ บ๊านบ้าน ชนิดที่นักเรียน กศน.เขายังไม่คิดจะทำ
ขณะที่รายการ “นายกฯ พบประชาชน” ก็เช่นกัน ในอดีตต้องยอมรับว่ารายการลักษณะนี้เกิดขึ้นในบ้านเรายุคแรก ก็ในสมัย นช.ทักษิณ ที่ไปลอกเอารูปแบบเดียวกับที่ผู้นำสหรัฐฯ คุยกับประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ “President’s Weekly Radio Address” ที่จะใช้พูดคุยนโยบายที่รัฐบาลจะผลักดันสู่มือประชาชน แต่ครั้ง ทักษิณ กลับถูกนำมาใช้เป็น เครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมให้ตนเอง และทำลายฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากเกินไป จนถูกกล่าวขานว่า เป็นอาวุธทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่มีอานุภาพรุนแรง ถึงกับมีงานวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้าฯ ออกมาชี้ว่า “รัฐบาลพยายามครอบงำสังคม” ผ่านรายการดังกล่าว
แต่พอมาถึงยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีรัฐมนตรีกำกับดูแลสื่อ ชื่อสาทิตย์ ต้องยอมรับตามตรงว่า “รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” วันนี้ ทั้งขาดเสน่ห์ และสาระให้ติดตาม เปรียบไปก็เหมือนละครเกรดต่ำ ที่คนดูน้อย แม้พระเอกของเรื่องจะหล่อเหลาการศึกษาดี มีมารยาท เรียกครบเครื่อง แต่ติดตรงที่ตัวเรื่องเข็นยังไงก็ดังยาก คนเขียนบทห่วย ผู้กำกับมือไม่ถึง ทำงานกล้าๆ กลัวๆ ฉลาดในเรื่องไม่ควรฉลาด ขณะเดียวกันก็โง่เหลือเชื่อ...ในเรื่องไม่ควรโง่เช่นกัน
ไล่ตั้งแต่การประกบคู่ตัวเอกในรายการแบบขาดๆ เกินๆ เน้นแต่รูปแบบ ให้คนสนใจติดตาม เอาดาราบ้าง พิธีกรดาราบ้าง มานั่งถามคำถามที่คนระดับนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาใช้เวลาของสถานีรัฐมาตอบออกอากาศแม้แต่น้อย อาทิ ท่านนายกฯ ใช้อายครีมหรือเปล่า ยี่ห้ออะไรคะ ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง ชอบกินอะไรที่สุด สับเพเหระ บล่ะ บล่ะ บล่ะ... ถ้าโชคดีหน่อย วันไหนมีเวลาก็หาทางหลบเสื้อแดงพ้นได้ ก็ให้พระเอกของเรื่องไปเดินตอบคำถามท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ ราวกับเป็นวิดีโอคาราโอเกะก็ไม่ปาน
ทุกครั้งที่ดูงานสื่อสารมวลชนของคุณสาทิตย์ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ทำให้ต้องหวนไปนึกถึงสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่แม้จะอยู่ในช่วงที่ล้มลุกคลุกคลาน ด้วยเพราะเป็นรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร ต้องเข้าไปจัดการกับฝ่ายต่อต้านที่เคยเป็นไม้เป็นมือในระบอบทักษิณ แต่การทำงานของทีมภายใต้การดูแลของ อาจารย์ธีรภัทธ์ เสรีรังสรรค์ และความช่วยเหลือในบางช่วงจาก ดร.เสรี วงษ์มณฑา ต้องยอมรับว่า หลายกิจกรรมที่มีความพยายามจะระดมความคิดเห็นจากสื่อมวลชนกับรัฐบาลในรูปแบบที่น่าสนใจ และเรียกได้ว่า “ใจถึง” กว่ารัฐมนตรีสาทิตย์มากนัก
เช่น การจัดคิว ให้บิ๊กบังไปตระเวนตอบปัญหาเคลียร์ใจสื่อ ระดับบิ๊กหลายค่าย ทั้งที่รู้ว่าจะถูกรุกไล่ด้วยข้อกล่าวหา ฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ได้เห็นภาพหัวหน้าคณะปฏิวัติไปนั่งตอบคำถามแบบตรงไปตรงมา กับสองศรีพี่น้องเทพชัย หย่อง–สุทธิชัย หย่อง และอีกหลายเจ้า
กระทั่ง ภาพของการดินเนอร์ ทอล์ก – ลันช์ ทอล์ก ที่ตัวนายกฯ สุรยุทธ์เชิญระดับบก.หลายหนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าวอาวุโส ทุกค่ายเข้าไประดมสมอง ถามในสิ่งที่อยากรู้ และแนะในเรื่องที่อยากแนะ โดยไม่ต้องมีการถ่ายทอดสด แต่เนื้อหาทั้งหมดบนโต๊ะอาหาร ก็สามารถส่งสารถึงผู้อ่านผ่านการรายงานของนักข่าวหนังสือพิมพ์ได้อย่างไม่ตกหล่น และเป็นประโยชน์ยิ่ง ทำให้เห็นถึงความพยายามของทุกฝ่าย ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อจะฝ่าสถานการณ์วิกฤตของบ้านของเมืองไปให้ได้
นั่นยังไม่นับรวมความใจถึง ที่แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่ถึง 10 วัน แต่ครั้งนั้นรัฐบาลก็กล้าให้รายการที่ให้ปัญญาอย่าง “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของสนธิ ลิ้มทองกุลได้ออกอากาศ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว หลังการโค่นอำนาจระบอบทักษิณ... ยังไม่รวมงานในมือของกระทรวงไอซีที ภายใต้การทำงานของอาจารย์สิทธิชัย โภไคยอุดม กับภารกิจในการสกัดกั้นเว็บหมิ่นสถาบัน
สำหรับผลงานของคุณสาทิตย์ ล่าสุด ที่ผู้เขียนรับไม่ได้เป็นการส่วนตัว และสถานีโทรทัศน์ ASTV ก็ได้มีการแสดงท่าทีไปแล้ว คือกรณีที่ทีมงาน รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ล่าสุด มีแผนจะจัดรูปแบบรายการในวันอาทิตย์นี้ เพื่อเรียกเรตติ้ง ความมันส์ ความฮา ...แต่ขาดซึ่งสำนึกรับผิดชอบ
โดยท่านเลือกที่จะส่งเสียงตามสายมาเชิญ คนข่าวของเอเอสทีวีอย่างเสียไม่ได้ให้ร่วมรายการ ก่อนจะมาเฉลยในภายหลังว่า ต้องการเชิญมาใน แมตช์หยุดโลก แดง-เหลืองฟาดฝีปากกลางจอ โดยจัดให้คนข่าวเอเอสทีวีไปนั่งประกบคู่กับคนฝั่ง Voice tv กระบอกเสียงทักษิณที่เพิ่งเสียบปลั๊กออกอากาศเฉพาะกิจได้ไม่กี่เดือน
ฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บถึงความตั้งใจของรัฐบาล ที่ต้องการจะตอกย้ำสารถึงประชาชน “เรื่องความขัดแย้งระหว่างสองสีที่มีรัฐบาลเป็นฮีโร่อยู่ตรงกลาง” หวังจะจัดฉายรายการสัปดาห์นี้ ให้สอดรับกับ มิวสิควิดีโออุบาทว์ที่รัฐบาลสั่งฉายไปทั่วโรงภาพยนตร์ เอสเอฟ ซีเนม่า...สร้างภาพเหลืองแดงขัดแย้ง แล้วหาทางย้อมสีอื่นที่อ้างว่าเป็นกลางทับเสีย....
ท่านรัฐมนตรีคะ..ลำพัง ท่านไม่กล้าให้เวทีเดี่ยวๆ กับเอเอสทีวี เพราะเกรงท่านนายกฯ จะตอบคำถามตรงๆ ยากๆ คำถามนอกสคริปต์ไม่ได้ ...ไม่เป็นไร
ท่านไม่กล้าเชิญเราไปร่วมเป็นหนึ่งในตัวแทนของสื่อมวลชนจากทุกที่ อย่างที่ควรจะเป็นไม่เป็นไร ....แต่ท่านควรจะเลิกเสียทีกับพฤติกรรมอำมหิต...น่าสะอิดสะเอียดเหล่านี้
เพราะสุดท้าย ท่านจะเป็นไม่ต่างจากรัฐบาลชั่วทั่วๆ ไป..ที่ใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือยกหางตัวเอง