xs
xsm
sm
md
lg

บ้านปูเน้นลุยถ่านหินเพิ่ม เล็งซื้อกิจการต่างแดนอีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน -บ้านปูปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ หันมามุ่งเน้นการทำธุรกิจถ่านหินมากขึ้น เล็งซื้อกิจการในออสเตรเลียและอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น ชี้ความต้องการใช้และราคาถ่านหินยังสดใสต่อไปอีก 15-20 ปีข้างหน้า ส่งผลให้โครงสร้างรายได้บ้านปูมาจากถ่านหิน 85-90% ในอีก 5ปีข้างหน้า ตั้งเป้าปีนี้รายได้ใกล้เคียงปีก่อน 5.7 หมื่นล้านบาทแม้ยอดขายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น23 ล้านตัน เนื่องจากราคาเฉลี่ยถ่านหินลดและบาทแข็ง ยอมรับความสามารถในการทำกำไรปีนี้หด
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่าแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาว 6ปีนี้ (2553-2558) บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายและพัฒนาธุรกิจถ่านหินมากขึ้น โดยมองโอกาสการลงทุนในการซื้อกิจการที่ออสเตรเลีย อินโดนีเซียและจีนเนื่องจากเห็นว่าธุรกิจถ่านหินยังมีศักยภาพที่ดีทั้งในด้านปริมาณความต้องการใช้และราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในอีก 15-20 ปี ขณะที่บริษัทมีความพร้อมด้านบุคคลากรในการต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจ
ส่งผลให้โครงสร้างรายได้ของบ้านปูในอีก 6 ปีข้างหน้าจะมาจากธุรกิจถ่านหิน 85-90 % ที่เหลือจะเป็นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานทดแทน จากปัจจุบันที่โครงสร้างรายได้มาจากธุรกิจถ่านหิน 75% โดยได้ยกเลิกเป้าหมายเดิมที่บ้านปูเคยวางโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯจะต้องมาจากธุรกิจไฟฟ้า 35-40%
“ แผนแม่บท 5ปีข้างหน้านี้บริษัทจะลงทุนถ่านหินมากขึ้น โดยวางเป้าหมายทำให้บริษัทเติบโตได้เร็วเหมือนเดิม 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่บริษัทจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังที่ 8 บาทต่อหุ้นเพื่อกันเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้ซื้อกิจการในอนาคต พร้อมทั้งมองโอกาสการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย และเอทานอล ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพลังงานทางเลือก 2-3 โครงการ เช่นชีวมวล พลังงานลมและแสงแดด คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ “
สำหรับแผนการลงทุน 6 ปีข้างหน้านี้ บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 466 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในอินโดนีเซีย 189 ล้านเหรียญสหรัฐ จีน 22 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยและลาว 255 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 96 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่บริษัทฯมีกระแสเงินสดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่พร้อมนำมาลงทุนโครงการใหม่ที่จะเข้า รวมทั้งยังสามารถกู้เงินเพื่อมาลงทุนโครงการใหม่ได้ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท ถึงจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ1:1 เท่าจากปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.24 เท่า
นายชนินท์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเหมืองโจร่ง ที่อินโดนีเซียว่า บริษัทฯยังคงเป้าหมายการผลิตถ่านหินที่เหมืองโจร่งไว้ระดับ 2ล้านตันต่อปี แม้ว่าจะยังหยุดการผลิตถ่านหินในเหมืองดังกล่าวอันเนื่องจากประทานบัตร แต่ล่าสุดประธานาธิบดีของอินโดนีเซียได้มีการลงนามการใช้พื้นที่ป่าที่เหมืองโจร่งตั้งอยู่สามารถทำเหมืองถ่านหินได้ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอให้การลงนามดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ขณะที่กำลังการผลิตถ่านหินของเหมืองโจร่งนั้นสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
ดังนั้นบริษัทฯยังคงเป้าหมายการผลิตถ่านหินและการจำหน่ายถ่านหินปีนี้ไว้เท่าเดิมที่ 23 ล้านตันจากปีก่อน 21.6 ล้านตัน โดยปริมาณถ่านหินที่เพิ่มขึ้นมาจากแหล่งผลิตถ่านหินใหม่ 2 จุด คือพื้นที่ผลิตทิศตะวันออกของเหมืองอินโดมิงโค และพื้นที่ผลิตถ่านหินทางทิศใต้ของเหมืองทรูบาอินโด รวมทั้งมีการผลิตถ่านหินที่เหมืองบารินโตในปลายปีนี้อีก 2 แสนตัน ส่วนโครงการเหมืองถ่านหินที่เกาเหอ ประเทศจีน มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 นี้ ประมาณ 1.5 ล้านตัน ส่งผลให้กำลังการผลิตถ่านหินในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันตามสัดส่วนการถือหุ้นของบ้านปู
ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯมีรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 5.7 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตและขายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 23 ล้านตัน แต่ราคาถ่านหินในปีนี้น่าจะต่ำกว่าปีก่อน ที่ระดับราคา 71.7 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยบริษัทได้มีการกำหนดราคาขายไปแล้ว 50% ที่เหลือจะทยอยกำหนดราคาขายโดยคาดหวังครึ่งปีหลังราคาถ่านหินจะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 65-72 เหรียญสหรัฐ/ตันอันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น oอกจากนี้ ในปีนี้บ้านปูจะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีจะต่ำกว่าปีที่แล้ว
ส่วนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ขนาด 1,800 เมกกะวัตต์ ซึ่งบริษัทถือหุ้น 40% จะใช้เงินลงทุนรวม 400 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โดยในปี 2557-2558 จะใช้เงินลงทุน 255 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนที่เหลือจะทยอยลงทุนในปี 2559-2560 ซึ่งตามแผนโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงครึ่งแรกปี 2558 และจะเริ่มรับรู้รายได้ทันที ทั้งนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการการจัดหาแหล่งเงินกู้คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2553
นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ปีนี้บริษัทฯมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นลดลงจากปีก่อน 50%เหลือเพียง 45-48% ส่งผลให้รายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้รวม 5.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯยังไม่มีแผนจะรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีอยู่ 3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะทยอยจ่ายหนี้คืนตามกำหนด และไม่มีแผนออกหุ้นกู้ในประเทศเพิ่มเติม
ส่วนการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2553 บริษัทยึดนนโยบายที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ และจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50%ของกำไรสุทธิ แม้ว่าปีนี้จะต้องกันเงินสำรองจากกำไรสุทธิเพื่อลงทุนก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น