ASTVผู้จัดการรายวัน – แลนด์ฯ แจงปี53กำไรสุทธิโตหลักเดียว เหตุหมดอายุมาตรการภาษีอสังหาฯ แนวโน้มน้ำมัน-วัสดุก่อสร้างปรับตัวดันค่าใช้จ่าย-ต้นทุนก่อสร้างปรับตัว5-7% พร้อมเตรียมปรับราคาขายขึ้นตามต้นทุนใหม่รักษากำไร เผยแผนลงทุนปีนี้ผุด 17 โครงการใหม่ บ้านเดี่ยว10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 3โครงการคอนโดมิเนียม4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,945ล้านบาท ขณะตั้งงบซื้อที่ดินรอการพัฒนาโครงการใหม่ปี53-54กว่า 6,000 ล้านบาท เล็งซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้าไฟ้โครงการ พร้อมเตรียมออกหุ้นกู้ไตรมาสแรก 3,000 ล้าน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต15%คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 19,610ล้านบาท
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH) เปิดเผยถึงผลประกอบการปี52ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รับรู้รวม 17,273ล้านบาท เพิ่มขึ้น1,863ล้านบาท จากปี51ซึ่งมีรายได้รวม15,410 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 12.09% ขณะเดียวกันบริษัทกลับมีอัตรากำไรเบื้องต้นลดลงมาอยู่ที่ 31.3% จากเดิมที่ปีก่อนหน้ามีอัตรากำไรเบื้องต้นที่32.1% ซึ่งเป็นผลมาจากรายจ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตรากำไรเบื้องต้นของบริษัทจะลดลงแต่ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการปรับ ตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่22.6% จากเดิมที่ปีก่อนหน้าอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่22.2% ซึ่งสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นใน
ปี52นั้นเนื่องจากได้รับประโยชน์ด้านภาษี จากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯของภาครัฐ
ส่วนในปี53นี้ บริษัทประมาณการว่าจะมีรายได้จากการขายเติบโตขึ้นจากปี52ประมาณ 15% หรือมียอดขายโอนรวม19,610ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของรายได้ดังกล่าวจะมาจากยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 17 โครงการ
และยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดขายอยู่ในขณะนี้ 39โครงการแบ่งเป็นโครงการในกทม.แลปริฒณฑล28โครงการต่างจังหวัด 11โครงการ อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิของปีนี้จะปรับตัวลดลงต่ำกว่าปี52 เนื่องจากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาฯ ซึ่งจะทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีรายจ่ายจากภษาธุรกิจเฉพาะ3.3%
นอกจากนี้แนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างในปี53จะส่งผลให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5-7% ซึ่งจะส่งผลต่อต้นก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและมีผลต่อรายได้ของบริษัท ซึ่งแลนด์ฯคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ
รวมในปีนี้จะเติบโตไม่เกิน10% อย่างไรก็ตามบริษัทจะทยอยปรับราคาขายที่อยู่อาศัยตามต้นทุนก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเดียวกับปีนี้
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มจำนวน17 โครงการ คิดเป็นมูลค่าขายรวม 30,945 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 14โครงการและ
ต่างจังหวัด 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 10โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 3โครงการและโครงการคอนโดมิเนียม4 โครงการ โดยในส่วนของโครงกาคอนโดมิเนียมนั้นจะมีการเปิดโครงการใหม่ที่หัวหิน1โครงการและอยู่ในกทม.ย่านสุขขุมวิท 3โครงการ สำหรับแผนการซื้อที่ดินรอการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ แลนด์ฯ ได้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้จำนวน6,000
ล้านบาทเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา2,000 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่บริษัทตั้งงบในการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นอีก2,000 ล้านบาทนั้นเพื่อนำไปซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53-54 ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปซื้อรอการพัฒนานั้นจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า2เส้นทางที่ครม.ได้มีมติอนุมัติให้ก่อสร้างแล้ว และในแนวรถไฟฟ้าที่กำลังจะมีการอนุมัติให้ก่อสร้างใหม่อีก2เส้นทาง
“ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนในธุรกิจไว้1,500ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้จะใช้เพิ่มทุนในธนาคารแสนด์แอนด์เฮ้าส์เพื่อรายย่อย จำกัด จำนวน 1,100 ล้านบาทและส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในกองทุนพร็อพเพอร์ตี้ LH พร็อพเพอร์ตี้ เทอร์มินอล 21 จำนวน400 ล้านบาท”
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสแรก แลนด์ฯยังมีแผ่นการออกหุ้นกู้จำนวน3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น2ล็อต โดยล็อตแรกมูลค่า1,000 ล้านบาท อายุ3ปี6เดือนอัตราดอกเบี้ย3.4% และล็อตที่ 2 จำนวน2,000 ล้านบาท อายุ3ปี ดอกเบี้ย3.2% อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสที่2นี้บริษัทจะมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระจำนวน2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ แลนดฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน หรือนำเงินในส่วนอื่นมาชำระหนี้ในส่วนที่ครบกำหนดชะระดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้จะต้องพิจารณาถึง
อัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์การหาแหล่งเงินมาชำระหนี้ดังกล่าวด้วย
นายนพร กล่าวว่าสำหรับแนวโน้มตลาดรวมอสังหาฯในปี53นี้ เชื่อว่าจะขยายตัวมากกว่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ผู้บริโภคจะเร่งซื้อและโอนเพื่อให้ทันรับประโยชน์ด้านภาษีก่อนที่มาตรการฯจะหมดอายุลงในวันที่28 มี.ค.นี้
อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสที่2เป็นต้นไปดีมานด์ในตลาดจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และอาจจะมีการชะลอตัวลงจากผลประทบปัจจัยลบทั้งในด้านการเมือง และปัจจัยราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้น รวมถึงการที่ดีมานด์บางส่วนถูกดูดซับไปบ้าง
แล้วในช่วงปลายปี52และต้นปีนี้ซึ่งจะทำให้ดีมานด์ในตลาดรวมหายไปบางส่วน
ทั้งนี้ในส่วนของซับพลายในตลาดนั้นเชื่อว่าในปีนี้จะไม่มากนัก เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ
โครงการให้แก่บริษัทจัดสรรรายย่อยและขนาดกลางที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงินส่งผลให้ในปีที่ผ่านมามีจำนวนซับพลายใหม่เข้ามาในตลาดไม่มากนัก และในปีนี้ก็เช่นกันหากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยกู้ก็จะส่งผลให้ซับพลายใหม่เข้ามาในตลาดไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก โดยในส่วนของแลนด์ฯ นั้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 5โครงการเท่านั้นส่วนที่เหลือ อีก 12โครการจะไปเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งการที่บริษัทชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปในช่วงครึ่งหลังของปี แม้ว่าขณะนี้โครงการใหม่ที่มีแผนจะเปิดตัวนั้นจะมีการก่อสร้างไปแล้ว เนื่องจากกังวลกับภาวะการเมืองและปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบในช่วงกลางปี
สำหรับภาวะตลาดรวมปี52นั้น หากพิจารณาจากตัวเลขโดยรวมของบ้านจดทะเบียนเพิ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ย.52 พบว่ามีบ้านจดทะเบียนเพิ่มทั้งสิ้น 83,100หน่วยเพิ่มขึ้น7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี51 ซึ่งมีตัวเลขการจดทะเบียนบ้านใหม่ 77,653หน่วย แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทสร้างเอง 19,364หน่วยลดลง 12.8% และที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรร63,736หน่วย เพิ่มขึ้น15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามหากประมาณการบ้านจดทะเบียนเพิ่มทั้งปี52 จะมีจำนวน
ประมาณ89,500หน่วยเพิ่มขึ้น7.7% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยสร้างเอง 20,500หน่วย และที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรร 69,000 หน่วยเพิ่มขึ้น 16.8%
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH) เปิดเผยถึงผลประกอบการปี52ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รับรู้รวม 17,273ล้านบาท เพิ่มขึ้น1,863ล้านบาท จากปี51ซึ่งมีรายได้รวม15,410 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 12.09% ขณะเดียวกันบริษัทกลับมีอัตรากำไรเบื้องต้นลดลงมาอยู่ที่ 31.3% จากเดิมที่ปีก่อนหน้ามีอัตรากำไรเบื้องต้นที่32.1% ซึ่งเป็นผลมาจากรายจ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตรากำไรเบื้องต้นของบริษัทจะลดลงแต่ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการปรับ ตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่22.6% จากเดิมที่ปีก่อนหน้าอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่22.2% ซึ่งสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นใน
ปี52นั้นเนื่องจากได้รับประโยชน์ด้านภาษี จากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯของภาครัฐ
ส่วนในปี53นี้ บริษัทประมาณการว่าจะมีรายได้จากการขายเติบโตขึ้นจากปี52ประมาณ 15% หรือมียอดขายโอนรวม19,610ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของรายได้ดังกล่าวจะมาจากยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 17 โครงการ
และยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดขายอยู่ในขณะนี้ 39โครงการแบ่งเป็นโครงการในกทม.แลปริฒณฑล28โครงการต่างจังหวัด 11โครงการ อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิของปีนี้จะปรับตัวลดลงต่ำกว่าปี52 เนื่องจากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาฯ ซึ่งจะทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีรายจ่ายจากภษาธุรกิจเฉพาะ3.3%
นอกจากนี้แนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างในปี53จะส่งผลให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5-7% ซึ่งจะส่งผลต่อต้นก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและมีผลต่อรายได้ของบริษัท ซึ่งแลนด์ฯคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ
รวมในปีนี้จะเติบโตไม่เกิน10% อย่างไรก็ตามบริษัทจะทยอยปรับราคาขายที่อยู่อาศัยตามต้นทุนก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเดียวกับปีนี้
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มจำนวน17 โครงการ คิดเป็นมูลค่าขายรวม 30,945 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 14โครงการและ
ต่างจังหวัด 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 10โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 3โครงการและโครงการคอนโดมิเนียม4 โครงการ โดยในส่วนของโครงกาคอนโดมิเนียมนั้นจะมีการเปิดโครงการใหม่ที่หัวหิน1โครงการและอยู่ในกทม.ย่านสุขขุมวิท 3โครงการ สำหรับแผนการซื้อที่ดินรอการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ แลนด์ฯ ได้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้จำนวน6,000
ล้านบาทเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา2,000 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่บริษัทตั้งงบในการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นอีก2,000 ล้านบาทนั้นเพื่อนำไปซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53-54 ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปซื้อรอการพัฒนานั้นจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า2เส้นทางที่ครม.ได้มีมติอนุมัติให้ก่อสร้างแล้ว และในแนวรถไฟฟ้าที่กำลังจะมีการอนุมัติให้ก่อสร้างใหม่อีก2เส้นทาง
“ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนในธุรกิจไว้1,500ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้จะใช้เพิ่มทุนในธนาคารแสนด์แอนด์เฮ้าส์เพื่อรายย่อย จำกัด จำนวน 1,100 ล้านบาทและส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในกองทุนพร็อพเพอร์ตี้ LH พร็อพเพอร์ตี้ เทอร์มินอล 21 จำนวน400 ล้านบาท”
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสแรก แลนด์ฯยังมีแผ่นการออกหุ้นกู้จำนวน3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น2ล็อต โดยล็อตแรกมูลค่า1,000 ล้านบาท อายุ3ปี6เดือนอัตราดอกเบี้ย3.4% และล็อตที่ 2 จำนวน2,000 ล้านบาท อายุ3ปี ดอกเบี้ย3.2% อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสที่2นี้บริษัทจะมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระจำนวน2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ แลนดฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน หรือนำเงินในส่วนอื่นมาชำระหนี้ในส่วนที่ครบกำหนดชะระดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้จะต้องพิจารณาถึง
อัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์การหาแหล่งเงินมาชำระหนี้ดังกล่าวด้วย
นายนพร กล่าวว่าสำหรับแนวโน้มตลาดรวมอสังหาฯในปี53นี้ เชื่อว่าจะขยายตัวมากกว่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ผู้บริโภคจะเร่งซื้อและโอนเพื่อให้ทันรับประโยชน์ด้านภาษีก่อนที่มาตรการฯจะหมดอายุลงในวันที่28 มี.ค.นี้
อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสที่2เป็นต้นไปดีมานด์ในตลาดจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และอาจจะมีการชะลอตัวลงจากผลประทบปัจจัยลบทั้งในด้านการเมือง และปัจจัยราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้น รวมถึงการที่ดีมานด์บางส่วนถูกดูดซับไปบ้าง
แล้วในช่วงปลายปี52และต้นปีนี้ซึ่งจะทำให้ดีมานด์ในตลาดรวมหายไปบางส่วน
ทั้งนี้ในส่วนของซับพลายในตลาดนั้นเชื่อว่าในปีนี้จะไม่มากนัก เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ
โครงการให้แก่บริษัทจัดสรรรายย่อยและขนาดกลางที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงินส่งผลให้ในปีที่ผ่านมามีจำนวนซับพลายใหม่เข้ามาในตลาดไม่มากนัก และในปีนี้ก็เช่นกันหากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยกู้ก็จะส่งผลให้ซับพลายใหม่เข้ามาในตลาดไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก โดยในส่วนของแลนด์ฯ นั้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 5โครงการเท่านั้นส่วนที่เหลือ อีก 12โครการจะไปเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งการที่บริษัทชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปในช่วงครึ่งหลังของปี แม้ว่าขณะนี้โครงการใหม่ที่มีแผนจะเปิดตัวนั้นจะมีการก่อสร้างไปแล้ว เนื่องจากกังวลกับภาวะการเมืองและปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบในช่วงกลางปี
สำหรับภาวะตลาดรวมปี52นั้น หากพิจารณาจากตัวเลขโดยรวมของบ้านจดทะเบียนเพิ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ย.52 พบว่ามีบ้านจดทะเบียนเพิ่มทั้งสิ้น 83,100หน่วยเพิ่มขึ้น7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี51 ซึ่งมีตัวเลขการจดทะเบียนบ้านใหม่ 77,653หน่วย แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทสร้างเอง 19,364หน่วยลดลง 12.8% และที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรร63,736หน่วย เพิ่มขึ้น15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามหากประมาณการบ้านจดทะเบียนเพิ่มทั้งปี52 จะมีจำนวน
ประมาณ89,500หน่วยเพิ่มขึ้น7.7% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยสร้างเอง 20,500หน่วย และที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรร 69,000 หน่วยเพิ่มขึ้น 16.8%