ASTVผู้จัดการรายวัน – “แสนสิริ” รุกตลาดกลาง-ล่าง ปลายปีอาจเห็นบ้านบีโอไอ ระบุหากต้องการยืนแถวหน้าธุรกิจอสังหาฯ ต้องทำทุกตลาด ระบุแผนปีนี้เปิดใหม่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,600 ล้านบาท เผยหากระดมทุนได้ต้องปรับแผนใหม่ เชื่อไม่เกินไตรมาส 1 รู้ผล พร้อมยอมรับการเมืองทำนักลงทุนผวา
นาย เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 53 ว่า เตรียมเปิดโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,600 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ, คอนโดฯ 8 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ขณะที่ปี 52 บริษัทเปิด 16 โครงการมูลค่า 19,500 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 53 นี้บริษัทจะมีสินค้าพร้อมขายใน 70 โครงการ
สำหรับสัดส่วนการพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว 40%, คอนโดฯ 40% และทาวน์เฮาส์ 20% โดยทั้ง 20 โครงการจะอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัดยังไม่มีนโยบายลงทุน ซึ่งหากสามารถซื้อที่ดินได้ก็จะลงทุนได้ทันที สำหรับตลาดต่างประเทศยังไม่มีแผนลงทุนเช่นเดียวกัน
ในจำนวนดังกล่าว มีโครงการทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมราคาล้านต้นๆ รวมอยู่ด้วยอย่างละ 1 โครงการ เนื่องจากมองว่าตลาดไม่เกิน 3 ล้านบาทมีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด หากแสนสิริต้องการขึ้นมายืนในแถวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเข้าไปพัฒนาในทุกตลาด เพื่อให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างที่สุด
“การเข้าไปในตลาดล่างหรือบ้านราคาล้านต้นๆ นั้น บริษัทได้ค่อยๆปรับฐานลูกค้าลงมา การขยายฐานตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป สังเกตที่ผ่านมาแสนสิริจะค่อยๆพัฒนาบ้านราคาต่ำออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านแบรนด์ใหม่ แต่ยังคงความเป็นแสนสิริ และเมื่อทุกอย่างมีความพร้อมบริษัทจึงบุกเข้าไปทำตลาดนี้”
**นำร่องบ้านBOIรัตนาธิเบศร์
ในส่วนโครงการบ้านบีโอไอนั้น คาดว่าจะพัฒนาได้ประมาณช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งปัจจุบันซื้อที่ดินมาแล้ว 1 แปลง จำนวน 10 ไร่ ย่านรัตนาธิเบศร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะพัฒนาออกมาในรูปแบบใด โดยในเบื้องต้นอาจพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯบีโอไอ แต่เนื่องจากเป็นที่ดินแปลงใหญ่อาจรวมที่อยู่อาศัยประเภทอื่นเข้าไปด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาตลาดพบว่า การเปิดโครงการบีโอไอจะต้องเปิดจำนวนมากๆ ในหลายๆทำเล เพื่อสร้างกระแส ทำให้บริษัทอาจหาซื้อที่ดินในทำเลอื่นๆมาเพิ่มแล้วจึงทำการเปิดขายพร้อมกันก็เป็นได้”
สำหรับสัดส่วนการพัฒนาสินค้าในแต่ละระดับราคาได้แก่ ระดับบนราคาเกินกว่า 10 ล้านบาทมี 10% ของพอร์ต, บ้านระดับราคา 3-10 ล้านบาทมี 70-75 % และต่ำกว่า 3 ล้านบาทมี 15% ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบ้านระดับล่างของบริษัทมีราคาเฉลี่ยอยู่ 2.5 ล้านบาท และภายใน 2 ปีนี้บริษัทจะเพิ่มพอร์ตบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเป็น 20% และจะทำให้ราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทอย่างแน่นอน
**ระดมทุนอีกครั้งรับแผนโครงการใหม่
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 52 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายจำนวน 16,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้มีจำนวน 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายในปีก่อนหน้า (แบกล็อค) ทยอยรับรู้ในปี 52 จำนวนมาก นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีกำไรไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 18,000 ล้านบาท โดยมีแบกล็อค จำนวน 16,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้รายได้ภายในปีนี้จำนวน 9,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ในปี 54
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า แผนการดำเนินงานดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานที่บริษัทไม่สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้ และอยู่บนพื้นฐานที่รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการทางภาษีอสังหาฯ ซึ่งหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจำนวน 1,473 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (พีพี) ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท และไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาด หรือเม็ดเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท
โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะนำเงินดังกล่าวมาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มหลังจากที่บริษัทชะลอการนำหุ้นออกเสนอขายในปี 52 เพราะภาวะตลาดทุนไม่ดี อย่างไรก็ดี เชื่อว่าภายในไตรมาส 1 จะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ เนื่องจากมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก แต่ยังมีความกังวลเรื่องภาวะการเมืองของไทยเท่านั้น เชื่อว่าหากการเมืองของไทยนิ่ง จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้นมาก และคาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 15-20% แต่หากการเมืองไม่นิ่งจะทำให้ตลาดโตเพียง 5% เท่านั้น.
นาย เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 53 ว่า เตรียมเปิดโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,600 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ, คอนโดฯ 8 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ขณะที่ปี 52 บริษัทเปิด 16 โครงการมูลค่า 19,500 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 53 นี้บริษัทจะมีสินค้าพร้อมขายใน 70 โครงการ
สำหรับสัดส่วนการพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว 40%, คอนโดฯ 40% และทาวน์เฮาส์ 20% โดยทั้ง 20 โครงการจะอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัดยังไม่มีนโยบายลงทุน ซึ่งหากสามารถซื้อที่ดินได้ก็จะลงทุนได้ทันที สำหรับตลาดต่างประเทศยังไม่มีแผนลงทุนเช่นเดียวกัน
ในจำนวนดังกล่าว มีโครงการทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมราคาล้านต้นๆ รวมอยู่ด้วยอย่างละ 1 โครงการ เนื่องจากมองว่าตลาดไม่เกิน 3 ล้านบาทมีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด หากแสนสิริต้องการขึ้นมายืนในแถวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเข้าไปพัฒนาในทุกตลาด เพื่อให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างที่สุด
“การเข้าไปในตลาดล่างหรือบ้านราคาล้านต้นๆ นั้น บริษัทได้ค่อยๆปรับฐานลูกค้าลงมา การขยายฐานตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป สังเกตที่ผ่านมาแสนสิริจะค่อยๆพัฒนาบ้านราคาต่ำออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านแบรนด์ใหม่ แต่ยังคงความเป็นแสนสิริ และเมื่อทุกอย่างมีความพร้อมบริษัทจึงบุกเข้าไปทำตลาดนี้”
**นำร่องบ้านBOIรัตนาธิเบศร์
ในส่วนโครงการบ้านบีโอไอนั้น คาดว่าจะพัฒนาได้ประมาณช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งปัจจุบันซื้อที่ดินมาแล้ว 1 แปลง จำนวน 10 ไร่ ย่านรัตนาธิเบศร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะพัฒนาออกมาในรูปแบบใด โดยในเบื้องต้นอาจพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯบีโอไอ แต่เนื่องจากเป็นที่ดินแปลงใหญ่อาจรวมที่อยู่อาศัยประเภทอื่นเข้าไปด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาตลาดพบว่า การเปิดโครงการบีโอไอจะต้องเปิดจำนวนมากๆ ในหลายๆทำเล เพื่อสร้างกระแส ทำให้บริษัทอาจหาซื้อที่ดินในทำเลอื่นๆมาเพิ่มแล้วจึงทำการเปิดขายพร้อมกันก็เป็นได้”
สำหรับสัดส่วนการพัฒนาสินค้าในแต่ละระดับราคาได้แก่ ระดับบนราคาเกินกว่า 10 ล้านบาทมี 10% ของพอร์ต, บ้านระดับราคา 3-10 ล้านบาทมี 70-75 % และต่ำกว่า 3 ล้านบาทมี 15% ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบ้านระดับล่างของบริษัทมีราคาเฉลี่ยอยู่ 2.5 ล้านบาท และภายใน 2 ปีนี้บริษัทจะเพิ่มพอร์ตบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเป็น 20% และจะทำให้ราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทอย่างแน่นอน
**ระดมทุนอีกครั้งรับแผนโครงการใหม่
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 52 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายจำนวน 16,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้มีจำนวน 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายในปีก่อนหน้า (แบกล็อค) ทยอยรับรู้ในปี 52 จำนวนมาก นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีกำไรไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 18,000 ล้านบาท โดยมีแบกล็อค จำนวน 16,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้รายได้ภายในปีนี้จำนวน 9,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ในปี 54
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า แผนการดำเนินงานดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานที่บริษัทไม่สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้ และอยู่บนพื้นฐานที่รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการทางภาษีอสังหาฯ ซึ่งหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจำนวน 1,473 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (พีพี) ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท และไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาด หรือเม็ดเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท
โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะนำเงินดังกล่าวมาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มหลังจากที่บริษัทชะลอการนำหุ้นออกเสนอขายในปี 52 เพราะภาวะตลาดทุนไม่ดี อย่างไรก็ดี เชื่อว่าภายในไตรมาส 1 จะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ เนื่องจากมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก แต่ยังมีความกังวลเรื่องภาวะการเมืองของไทยเท่านั้น เชื่อว่าหากการเมืองของไทยนิ่ง จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้นมาก และคาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 15-20% แต่หากการเมืองไม่นิ่งจะทำให้ตลาดโตเพียง 5% เท่านั้น.