หลายคนพยายามตั้งคำถามว่า หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”ออกมาเรียบแล้ว ปฏิกิริยาของ นช.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงที่หลงใหลได้ปลื้มในตัวนช.ทักษิณราวกับเป็น “พระเจ้า” จะออกมาในรูปแบบใด
เอาของ(กู) คืนมา ผ่าแผน “แม้ว” ทวงคืนสมบัติ จลาจล-พลิกขั้ว-ยั่วรัฐประหาร-บี้ยุบ ปชป.
คลุ้มคลั่ง ขาดสติ ตีโพยตีพายในเรื่องความไม่ยุติธรรม จากนั้นก็อาละวาดปฏิบัติการดิบเถื่อนถ่อยก่อการจลาจลทั่วประเทศ
หรือได้มีการตระเตรียม “ทัพพิสดาร” เพื่อเปิดศึกในสงครามครั้งสุดท้ายอย่างไร เพราะเชื่อว่า เวลานี้เป้าหมายในใจของเขาใหญ่กว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านไปแล้ว และคำพิพากษาที่ออกมาในวันที่ 26 ก.พ.จะเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือบ่มเพาะความเคียดแค้น” ที่เขารอคอยเพื่อนำไปขยายผลไปสู่สิ่งที่วาดฝันไว้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากพินิจพิเคราะห์โดยสวมวิญญาณของนายใหญ่แห่งดูไบผู้ที่ได้ชื่อว่า “เหลี่ยมจัด” อย่างไม่อาจหาใครเทียบเคียงได้ รวมทั้งตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงก๊กต่างๆ แล้ว ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ใน 4 กรณีด้วยกัน
นี่เป็น “เกมเอาของกูคืนมา” ที่ต้องจับตาใกล้ชิดชนิดไม่อาจกระพริบตาได้เลยทีเดียว
**แผน 1
จลาจลล้มอำนาจรัฐ-ยั่วรัฐประหาร
ยุทธวิธีแรกที่มีความเป็นไปได้สูงสุดก็คือ เปิดฉากปฏิบัติการด้วย “ยุทธศาสตร์ฮาร์ดคอร์” เพื่อปฏิบัติการป่วนบ้านป่วนเมืองก่อการจลาจลทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อทั้งยั่วยุให้ “ทหาร” ตัดสินใจทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นหนทางที่ นช.ทักษิณได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะจะใช้เป็นข้ออ้างในการระดมคนเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการได้อย่างชอบธรรม รวมถึงการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นบ่อยครั้งในระยะหลัง
แน่นอน เป้าหมายของพวกเขาย่อมหนีไม่พ้นการกดดันทหารด้วยการก่นด่า “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อให้บรรดา “ลูกป๋า” อดรนทนไม่ไหว และนำไปสู่การทำรัฐประหาร
แต่ถ้าหากไม่สามารถยั่วให้ทหารทำรัฐประหารได้สำเร็จ เป้าหมายของพวกเขาจะมุ่งไปที่การกดดันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะทันที ด้วยเปิดเกมยั่วยุให้รัฐบาลตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง จากนั้นก็ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางอำนาจ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถปกครองประเทศได้อีกต่อไป
จากนั้นก็กดดันให้รัฐบาลตัดสินใจยุบสภา เพราะเขาเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาด้วยคะแนนเสียงสูงสุดเหมือนเดิม หรือไม่ก็ยื่นข้อเสนอ “นิรโทษกรรม” เพื่อแลกกับการยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น ดังที่แย้มไต๋ไว้ในการเสวนาของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ รร.มิราเคิล แกรนด์ ว่า “ ทางออกวันนี้ต้องนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากันและเริ่มต้นกันใหม่ ที่ผ่านมาเจ็บคนละหน่อย ก็ขอให้เห็นแก่บ้านเมืองร่วมกัน แต่ไม่ใช่เอ็งยอมถูกยึดทรัพย์ ยอมถูกติดคุกเถอะ แบบนั้นไม่ใช่ปรองดอง…วันนี้ถอยคนละก้าวสองก้าวบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่ถ้าหากบี้ให้ตายปี 2553 จะเป็นปีแห่งเละตุ้มเป๊ะ”
ทั้งนี้ ปฏิบัติการดิบเถื่อนถ่อยนี้ได้กำหนดวันดีเดย์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดย “แก๊ง 3 เกลอหัวขวด” และสมัครพรรคพวกที่ประกาศเป่านกหวีดนัดวันชุมนุมขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นไปก่อนจะยาตราทัพเข้ากรุงเทพฯ เพื่อจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค.
ความน่าสะพรึงกลัวของปฏิบัติการนี้ก็คือ จะมีการระดมพลพร้อมรถกระบะ 1 แสนคันไปปิดค่ายทหารทั่วประเทศ พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า คราวนี้จะไม่ “หน่อมแน้ม” เหมือนครั้งที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าจะยึดประเทศได้สำเร็จภายใน 7 วัน ซึ่งถ้าหากพวกเขาระดมพลได้ 1 ล้านคนและรถกระบะเข้ากรุงได้ถึง 1 แสนคันจริง บอกได้คำเดียวว่า งานนี้มีเลือดตกยางออกถึงขั้นเลือดนองแผ่นดินเลยทีเดียว
สำหรับพื้นที่เป้าหมายนั้น นอกจากการชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ในจังหวัดต่างๆ ที่เป็นฐานกำลังของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย หรือภาคอีสานอย่างอุดรธานี นครราชสีมา,อุบลราชธานี, สุรินทร์, ยโสธร และศรีสะเกษ ก็เป็นพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยเพราะอาจมีการเคลื่อนกำลังไปปิดล้อมศาลากลาง หรือสถานที่ราชการต่างๆ ได้ตลอดเวลา
แต่ความสำเร็จดังกล่าว หนีไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยสรรพกำลังจากฐานเสียงของ ส.ส. เพื่อขนคนให้มาร่วมชุมนุม ดังนั้น มีการต่อท่อน้ำเลี้ยงจึงต้องพร้อมทั้งในเรื่องของปริมาณและคุณภาพ
แหล่งข่าวทางการทหารให้ข้อมูลเชิงลึกกับ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนเช่นเมื่อครั้งสงกรานต์เลือด เพราะเวลานี้บรรดาขุนพลสายเหยี่ยวได้ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว รวมทั้งปฏิบัติการที่มิอาจมองข้ามไปได้ก็คือ “การขจัดบุคคลสำคัญ” เพื่อสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องสูญเสีย “ไพร่พลคนเสื้อแดง” เป็นเครื่องสังเวยชัยชนะ ดังนั้น พวกเขาจึงจำต้องปลุกระดมหรือล้างสมองให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดความเชื่อให้ได้ว่า “นปช.ต้องยอมเจ็บเพื่อแม้ว”
แต่สิ่งที่พวกเขาต้องระมัดระวังพร้อมๆ กันก็คือ “มือที่ 3” ที่กำลังรอจังหวะสร้างสถานการณ์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอำมาตย์หรือกลุ่มอำนาจใหม่ก็ตาม เพราะถ้าหากเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา กลุ่มเสื้อแดงจะถูกปราบปรามชนิดถอนรากถอนโค่นทีเดียว
ขณะเดียวกัน ถ้าจะให้สถานการณ์บีบคั้นขึ้นหนักเข้าไปอีก อาจจะต้องตัดสินใจใช้ “แผนโลกล้อมประเทศ” โดยหยิบยืมกำลังของ “เพื่อนชั่ว(นิรันดร์)” อย่าง “นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเคลื่อนทัพเข้ากดดันบริเวณชายแดน ซึ่งขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา 1 วันคือในวันที่ 27 ก.พ.นายฮุนเซน จะเดินทางไปชายแดนกัมพูชา-ไทย อีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมทางทหาร
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ สำนักข่าวเกียวโดได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซนด้วยว่า ในวันที่ 4 มี.ค.นี้ นายฮุนเซนมีคำสั่งให้ทดสอบการยิงจรวดชนิด BM-21 ประมาณ 200 ครั้งที่จังหวัดกัมปงจามที่อยู่ทางเหนือของพนมเปญราว 100 กิโลเมตร
และแว่วว่ามีการต่อสายไปถึงรัฐบาลทหารพม่าเพื่อตัดการขนส่งก๊าซเพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าในไทยอีกด้วย
แน่นอนว่า ทั้งไทยและเทศได้กระแสของความรุนแรงกันอย่างถ้วนหน้า เพราะมิฉะนั้นแล้ว 27 ชาติคงไม่ออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้ คำเตือนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ คำเตือนของนายกอยเกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ที่แนะนำผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปกรุงเทพฯ ภายใน 2-3 วันนี้ ควรเลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เสมือนหนึ่งว่า จะรู้ระแคะระคายอะไรล่วงหน้ามาก่อน
**แผน 2
เปิดเกมสภา
ต่อท่อพลิกขั้วตั้งรบ.
ยุทธวิธีที่สองเป็นปฏิบัติการที่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากเปิดเกมใช้ความรุนแรงป่วนบ้านป่วนเมืองไม่นานนัก ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลทั้งเกมการเมืองในสภาและเกมการเมืองนอกสภา
แผนนี้ นช.ทักษิณจะเคลื่อน “ทัพพิสดาร” ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการใช้ความรุนแรงด้วยการ “ต่อสาย” ไปยังพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้เพื่อให้มีการ “สลับขั้วทางการเมือง” โดยต่อ “ท่อน้ำเลี้ยง” โดยตรงไปพรรคการเมืองที่มีความเป็นไปได้สูงสุดนั่นก็คือ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่มีหลงจู๊ใหญ่-บรรหาร ศิลปอาชา เพื่อให้ยกมือสวนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินสลับขั้วพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ
ขณะที่ทางกลุ่มอำนาจใหม่ โดยเฉพาะ “กลุ่มสีน้ำเงิน” ของ “ยี้ห้อยตัวพ่อแห่งเมืองบุรีรัมย์นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแปรที่น่าจับตาไม่น้อย เพราะอาจหันกลับไปจูบปากนายใหญ่อีกครั้ง
สัญญาณแรกที่ชัดเจนถูกส่งออกมาจากปากของ “นายชัย ชิดชอบ” โดยระบุถึงกรณีความชัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง นช.ทักษิณกับนายเนวิน ชิดชอบที่เคยประกาศจะไม่เผาผีกันว่า “อาจจะกลับมากอดคอกันอีกครั้งก็เป็นได้ คงเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่เมื่อก่อนเป็นอย่างไร และเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร”
แน่นอน เกมนี้น่า “เงินถึง” และ “บรรลุข้อตกลง” ร่วมกันได้แล้ว อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมืองนั้น” ยังคงเป็นสัจธรรมสำหรับนักการเมืองไทย
แต่ปัญหาใหญ่หลวงของวิธีการนี้ก็คือ นายใหญ่จะต้องไปเคลียร์ขุนพลทางการเมืองของตนเองให้เรียบร้อยว่า จะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดการ “แย่งชามข้าม” เหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว
ทั้งนี้ ถ้าให้เดาใจ นช.ทักษิณบุคคลที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ณ วินาทีนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้น “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” กับ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ปะทุขึ้นมาอีก เพียงแต่นายใหญ่คงจะต้องเกลี้ยกล่อมให้คุณหญิงสุดารัตน์ในฐานะคนรู้ใจที่คุมพื้นที่ กทม.ยอมให้ “ลูกเหลิม” ลงสมัคร ส.ส.ในพื้นที่ฝั่งธนได้เท่านั้น
จากนั้นก็อาจให้พล.อ.ชวลิตเปิดเกมตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” เพื่อดูดพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย และโดดเดี่ยวประชาธิปัตย์ให้เป็นฝ่ายค้านตามลำพัง ซึ่งข้ออ้างเรื่องรัฐบาลแห่งชาติของบิ๊กจิ๋วอาจกลายเป็นจุดพลิกผันที่นำไปสู่ความสำเร็จก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า สันดานของนักการเมืองไทยนั้น ไม่มีใครอยากอดอยากปากแห้งเป็นฝ่ายค้าน ต่างคนต่างก็อยากเป็นรัฐบาลทั้งสิ้น
“ฟันธงปีนี้มีการเปลี่ยนรัฐบาลแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันรัฐบาลแบบไหน รัฐบาลแห่งชาติหรือเปล่าผมไม่รู้ รัฐบาลเปลี่ยนขั้วหรือเปล่าผมไม่รู้"นี่คือคำพูดตอกย้ำของนช.ทักษิณ
**แผน 3
ยุบพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับแผนสาม นั้น คงต้องบอกว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเพราะดูเหมือนจะง่ายกว่าวิธีการอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมหาศาล เพราะนอกจากจะมีความเป็นไปได้สูงแล้ว หนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนอะไร สามารถจ่ายเข้าเป้าได้ง่ายและตรงตัว
เรียกว่าง่ายกว่าใช้แผนถุงขนมเยอะ
นั่นก็คือการทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้มีการ “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” จากกรณีเงินบริจาค258 ล้านบาท ของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) เพราะในทันทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีคำวินิจฉัยออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำความผิดจริง และศาลรัฐธรรมนูญออกมาในแนวทางเดียวกับ กกต. นั่นหมายความว่า สถานภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ย่อมหมดไป
แน่นอน รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
กรณีนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนสำรองอีกแผนหนึ่งที่นับวันจะมีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูงขึ้นทุกที ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามกดดันการทำงานคณะกรรมการการเลือกตั้งอยู่เป็นระยะๆ รวมทั้งสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหยิบยกประเด็นนี้มาตอกย้ำให้เห็นอยู่เสมอๆ
ขณะที่ทาง กกต.เองก็ดูเหมือนจะมีลับลมคมในชนิดที่ชวนให้ผิดสังเกตถี่ขึ้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของ “นายอภิชาต สุขัคคานท์” ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ท้ายที่สุดแล้วผลจะออกมาอย่างไร
แผน 4
คลุ้มคลั่งตั้งรัฐไทยใหม่
ส่วนแผนที่ 4 นั้นเชื่อว่าเป็นแผนสุดท้ายที่จะถูกหยิบออกมาใช้หลังจากที่แผนอื่นๆ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้และไม่แน่ว่า อาจกลายมาเป็นแผนแรกที่ถูกนำมาใช้ก็ได้ ถ้าหากนายใหญ่คลุ้มคลั่งจากคำพิพากษาของศาลจนธาตุไฟเข้าแทรกขั้นสติวิปลาส
ความจริงแผนนี้เคยถูกเผยแพร่ออกมาให้ได้รับทราบกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้นั้นมีมากน้อยขนาดไหน นั่นคือการประกาศไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย จากนั้นก็เคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตนเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภาคเหนือและคนภาคอีสานเพื่อ สถาปนา “รัฐไทยใหม่” ขึ้นมาโดยตัวเองเป็นผู้นำสูงสุด
ความชั่วร้ายของแผนนี้ก็คือ การประกาศใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเหมือนที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นต้นแบบในการปฏิบัติการ ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกอย่างจะดำเนินไปในท่วงทำนองของความรุนแรงอย่างไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม ถามว่า สุดท้ายแล้ว นช.ทักษิณจะเลือกใช้วิธีการใด วินาทีนี้คงอาจไม่มีคำตอบให้เบ็ดเสร็จ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า เขาพร้อมที่จะใช้ทุกวิธีผสมผสานกัน จนกว่าวิธีการใดวิธีการหนึ่งจะนำมาซึ่งชัยชนะให้กับเขา
นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของชายชื่อทักษิณ ชินวัตร
เอาของ(กู) คืนมา ผ่าแผน “แม้ว” ทวงคืนสมบัติ จลาจล-พลิกขั้ว-ยั่วรัฐประหาร-บี้ยุบ ปชป.
คลุ้มคลั่ง ขาดสติ ตีโพยตีพายในเรื่องความไม่ยุติธรรม จากนั้นก็อาละวาดปฏิบัติการดิบเถื่อนถ่อยก่อการจลาจลทั่วประเทศ
หรือได้มีการตระเตรียม “ทัพพิสดาร” เพื่อเปิดศึกในสงครามครั้งสุดท้ายอย่างไร เพราะเชื่อว่า เวลานี้เป้าหมายในใจของเขาใหญ่กว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านไปแล้ว และคำพิพากษาที่ออกมาในวันที่ 26 ก.พ.จะเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือบ่มเพาะความเคียดแค้น” ที่เขารอคอยเพื่อนำไปขยายผลไปสู่สิ่งที่วาดฝันไว้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากพินิจพิเคราะห์โดยสวมวิญญาณของนายใหญ่แห่งดูไบผู้ที่ได้ชื่อว่า “เหลี่ยมจัด” อย่างไม่อาจหาใครเทียบเคียงได้ รวมทั้งตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงก๊กต่างๆ แล้ว ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ใน 4 กรณีด้วยกัน
นี่เป็น “เกมเอาของกูคืนมา” ที่ต้องจับตาใกล้ชิดชนิดไม่อาจกระพริบตาได้เลยทีเดียว
**แผน 1
จลาจลล้มอำนาจรัฐ-ยั่วรัฐประหาร
ยุทธวิธีแรกที่มีความเป็นไปได้สูงสุดก็คือ เปิดฉากปฏิบัติการด้วย “ยุทธศาสตร์ฮาร์ดคอร์” เพื่อปฏิบัติการป่วนบ้านป่วนเมืองก่อการจลาจลทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อทั้งยั่วยุให้ “ทหาร” ตัดสินใจทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นหนทางที่ นช.ทักษิณได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะจะใช้เป็นข้ออ้างในการระดมคนเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการได้อย่างชอบธรรม รวมถึงการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นบ่อยครั้งในระยะหลัง
แน่นอน เป้าหมายของพวกเขาย่อมหนีไม่พ้นการกดดันทหารด้วยการก่นด่า “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อให้บรรดา “ลูกป๋า” อดรนทนไม่ไหว และนำไปสู่การทำรัฐประหาร
แต่ถ้าหากไม่สามารถยั่วให้ทหารทำรัฐประหารได้สำเร็จ เป้าหมายของพวกเขาจะมุ่งไปที่การกดดันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะทันที ด้วยเปิดเกมยั่วยุให้รัฐบาลตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง จากนั้นก็ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางอำนาจ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถปกครองประเทศได้อีกต่อไป
จากนั้นก็กดดันให้รัฐบาลตัดสินใจยุบสภา เพราะเขาเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาด้วยคะแนนเสียงสูงสุดเหมือนเดิม หรือไม่ก็ยื่นข้อเสนอ “นิรโทษกรรม” เพื่อแลกกับการยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น ดังที่แย้มไต๋ไว้ในการเสวนาของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ รร.มิราเคิล แกรนด์ ว่า “ ทางออกวันนี้ต้องนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากันและเริ่มต้นกันใหม่ ที่ผ่านมาเจ็บคนละหน่อย ก็ขอให้เห็นแก่บ้านเมืองร่วมกัน แต่ไม่ใช่เอ็งยอมถูกยึดทรัพย์ ยอมถูกติดคุกเถอะ แบบนั้นไม่ใช่ปรองดอง…วันนี้ถอยคนละก้าวสองก้าวบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่ถ้าหากบี้ให้ตายปี 2553 จะเป็นปีแห่งเละตุ้มเป๊ะ”
ทั้งนี้ ปฏิบัติการดิบเถื่อนถ่อยนี้ได้กำหนดวันดีเดย์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดย “แก๊ง 3 เกลอหัวขวด” และสมัครพรรคพวกที่ประกาศเป่านกหวีดนัดวันชุมนุมขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นไปก่อนจะยาตราทัพเข้ากรุงเทพฯ เพื่อจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค.
ความน่าสะพรึงกลัวของปฏิบัติการนี้ก็คือ จะมีการระดมพลพร้อมรถกระบะ 1 แสนคันไปปิดค่ายทหารทั่วประเทศ พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า คราวนี้จะไม่ “หน่อมแน้ม” เหมือนครั้งที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าจะยึดประเทศได้สำเร็จภายใน 7 วัน ซึ่งถ้าหากพวกเขาระดมพลได้ 1 ล้านคนและรถกระบะเข้ากรุงได้ถึง 1 แสนคันจริง บอกได้คำเดียวว่า งานนี้มีเลือดตกยางออกถึงขั้นเลือดนองแผ่นดินเลยทีเดียว
สำหรับพื้นที่เป้าหมายนั้น นอกจากการชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ในจังหวัดต่างๆ ที่เป็นฐานกำลังของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย หรือภาคอีสานอย่างอุดรธานี นครราชสีมา,อุบลราชธานี, สุรินทร์, ยโสธร และศรีสะเกษ ก็เป็นพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยเพราะอาจมีการเคลื่อนกำลังไปปิดล้อมศาลากลาง หรือสถานที่ราชการต่างๆ ได้ตลอดเวลา
แต่ความสำเร็จดังกล่าว หนีไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยสรรพกำลังจากฐานเสียงของ ส.ส. เพื่อขนคนให้มาร่วมชุมนุม ดังนั้น มีการต่อท่อน้ำเลี้ยงจึงต้องพร้อมทั้งในเรื่องของปริมาณและคุณภาพ
แหล่งข่าวทางการทหารให้ข้อมูลเชิงลึกกับ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนเช่นเมื่อครั้งสงกรานต์เลือด เพราะเวลานี้บรรดาขุนพลสายเหยี่ยวได้ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว รวมทั้งปฏิบัติการที่มิอาจมองข้ามไปได้ก็คือ “การขจัดบุคคลสำคัญ” เพื่อสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องสูญเสีย “ไพร่พลคนเสื้อแดง” เป็นเครื่องสังเวยชัยชนะ ดังนั้น พวกเขาจึงจำต้องปลุกระดมหรือล้างสมองให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดความเชื่อให้ได้ว่า “นปช.ต้องยอมเจ็บเพื่อแม้ว”
แต่สิ่งที่พวกเขาต้องระมัดระวังพร้อมๆ กันก็คือ “มือที่ 3” ที่กำลังรอจังหวะสร้างสถานการณ์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอำมาตย์หรือกลุ่มอำนาจใหม่ก็ตาม เพราะถ้าหากเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา กลุ่มเสื้อแดงจะถูกปราบปรามชนิดถอนรากถอนโค่นทีเดียว
ขณะเดียวกัน ถ้าจะให้สถานการณ์บีบคั้นขึ้นหนักเข้าไปอีก อาจจะต้องตัดสินใจใช้ “แผนโลกล้อมประเทศ” โดยหยิบยืมกำลังของ “เพื่อนชั่ว(นิรันดร์)” อย่าง “นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเคลื่อนทัพเข้ากดดันบริเวณชายแดน ซึ่งขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา 1 วันคือในวันที่ 27 ก.พ.นายฮุนเซน จะเดินทางไปชายแดนกัมพูชา-ไทย อีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมทางทหาร
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ สำนักข่าวเกียวโดได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซนด้วยว่า ในวันที่ 4 มี.ค.นี้ นายฮุนเซนมีคำสั่งให้ทดสอบการยิงจรวดชนิด BM-21 ประมาณ 200 ครั้งที่จังหวัดกัมปงจามที่อยู่ทางเหนือของพนมเปญราว 100 กิโลเมตร
และแว่วว่ามีการต่อสายไปถึงรัฐบาลทหารพม่าเพื่อตัดการขนส่งก๊าซเพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าในไทยอีกด้วย
แน่นอนว่า ทั้งไทยและเทศได้กระแสของความรุนแรงกันอย่างถ้วนหน้า เพราะมิฉะนั้นแล้ว 27 ชาติคงไม่ออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้ คำเตือนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ คำเตือนของนายกอยเกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ที่แนะนำผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปกรุงเทพฯ ภายใน 2-3 วันนี้ ควรเลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เสมือนหนึ่งว่า จะรู้ระแคะระคายอะไรล่วงหน้ามาก่อน
**แผน 2
เปิดเกมสภา
ต่อท่อพลิกขั้วตั้งรบ.
ยุทธวิธีที่สองเป็นปฏิบัติการที่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากเปิดเกมใช้ความรุนแรงป่วนบ้านป่วนเมืองไม่นานนัก ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลทั้งเกมการเมืองในสภาและเกมการเมืองนอกสภา
แผนนี้ นช.ทักษิณจะเคลื่อน “ทัพพิสดาร” ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการใช้ความรุนแรงด้วยการ “ต่อสาย” ไปยังพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้เพื่อให้มีการ “สลับขั้วทางการเมือง” โดยต่อ “ท่อน้ำเลี้ยง” โดยตรงไปพรรคการเมืองที่มีความเป็นไปได้สูงสุดนั่นก็คือ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่มีหลงจู๊ใหญ่-บรรหาร ศิลปอาชา เพื่อให้ยกมือสวนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินสลับขั้วพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ
ขณะที่ทางกลุ่มอำนาจใหม่ โดยเฉพาะ “กลุ่มสีน้ำเงิน” ของ “ยี้ห้อยตัวพ่อแห่งเมืองบุรีรัมย์นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแปรที่น่าจับตาไม่น้อย เพราะอาจหันกลับไปจูบปากนายใหญ่อีกครั้ง
สัญญาณแรกที่ชัดเจนถูกส่งออกมาจากปากของ “นายชัย ชิดชอบ” โดยระบุถึงกรณีความชัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง นช.ทักษิณกับนายเนวิน ชิดชอบที่เคยประกาศจะไม่เผาผีกันว่า “อาจจะกลับมากอดคอกันอีกครั้งก็เป็นได้ คงเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่เมื่อก่อนเป็นอย่างไร และเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร”
แน่นอน เกมนี้น่า “เงินถึง” และ “บรรลุข้อตกลง” ร่วมกันได้แล้ว อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมืองนั้น” ยังคงเป็นสัจธรรมสำหรับนักการเมืองไทย
แต่ปัญหาใหญ่หลวงของวิธีการนี้ก็คือ นายใหญ่จะต้องไปเคลียร์ขุนพลทางการเมืองของตนเองให้เรียบร้อยว่า จะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดการ “แย่งชามข้าม” เหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว
ทั้งนี้ ถ้าให้เดาใจ นช.ทักษิณบุคคลที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ณ วินาทีนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้น “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” กับ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ปะทุขึ้นมาอีก เพียงแต่นายใหญ่คงจะต้องเกลี้ยกล่อมให้คุณหญิงสุดารัตน์ในฐานะคนรู้ใจที่คุมพื้นที่ กทม.ยอมให้ “ลูกเหลิม” ลงสมัคร ส.ส.ในพื้นที่ฝั่งธนได้เท่านั้น
จากนั้นก็อาจให้พล.อ.ชวลิตเปิดเกมตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” เพื่อดูดพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย และโดดเดี่ยวประชาธิปัตย์ให้เป็นฝ่ายค้านตามลำพัง ซึ่งข้ออ้างเรื่องรัฐบาลแห่งชาติของบิ๊กจิ๋วอาจกลายเป็นจุดพลิกผันที่นำไปสู่ความสำเร็จก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า สันดานของนักการเมืองไทยนั้น ไม่มีใครอยากอดอยากปากแห้งเป็นฝ่ายค้าน ต่างคนต่างก็อยากเป็นรัฐบาลทั้งสิ้น
“ฟันธงปีนี้มีการเปลี่ยนรัฐบาลแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันรัฐบาลแบบไหน รัฐบาลแห่งชาติหรือเปล่าผมไม่รู้ รัฐบาลเปลี่ยนขั้วหรือเปล่าผมไม่รู้"นี่คือคำพูดตอกย้ำของนช.ทักษิณ
**แผน 3
ยุบพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับแผนสาม นั้น คงต้องบอกว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเพราะดูเหมือนจะง่ายกว่าวิธีการอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมหาศาล เพราะนอกจากจะมีความเป็นไปได้สูงแล้ว หนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนอะไร สามารถจ่ายเข้าเป้าได้ง่ายและตรงตัว
เรียกว่าง่ายกว่าใช้แผนถุงขนมเยอะ
นั่นก็คือการทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้มีการ “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” จากกรณีเงินบริจาค258 ล้านบาท ของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) เพราะในทันทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีคำวินิจฉัยออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำความผิดจริง และศาลรัฐธรรมนูญออกมาในแนวทางเดียวกับ กกต. นั่นหมายความว่า สถานภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ย่อมหมดไป
แน่นอน รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
กรณีนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนสำรองอีกแผนหนึ่งที่นับวันจะมีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูงขึ้นทุกที ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามกดดันการทำงานคณะกรรมการการเลือกตั้งอยู่เป็นระยะๆ รวมทั้งสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหยิบยกประเด็นนี้มาตอกย้ำให้เห็นอยู่เสมอๆ
ขณะที่ทาง กกต.เองก็ดูเหมือนจะมีลับลมคมในชนิดที่ชวนให้ผิดสังเกตถี่ขึ้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของ “นายอภิชาต สุขัคคานท์” ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ท้ายที่สุดแล้วผลจะออกมาอย่างไร
แผน 4
คลุ้มคลั่งตั้งรัฐไทยใหม่
ส่วนแผนที่ 4 นั้นเชื่อว่าเป็นแผนสุดท้ายที่จะถูกหยิบออกมาใช้หลังจากที่แผนอื่นๆ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้และไม่แน่ว่า อาจกลายมาเป็นแผนแรกที่ถูกนำมาใช้ก็ได้ ถ้าหากนายใหญ่คลุ้มคลั่งจากคำพิพากษาของศาลจนธาตุไฟเข้าแทรกขั้นสติวิปลาส
ความจริงแผนนี้เคยถูกเผยแพร่ออกมาให้ได้รับทราบกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้นั้นมีมากน้อยขนาดไหน นั่นคือการประกาศไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย จากนั้นก็เคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตนเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภาคเหนือและคนภาคอีสานเพื่อ สถาปนา “รัฐไทยใหม่” ขึ้นมาโดยตัวเองเป็นผู้นำสูงสุด
ความชั่วร้ายของแผนนี้ก็คือ การประกาศใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเหมือนที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นต้นแบบในการปฏิบัติการ ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกอย่างจะดำเนินไปในท่วงทำนองของความรุนแรงอย่างไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม ถามว่า สุดท้ายแล้ว นช.ทักษิณจะเลือกใช้วิธีการใด วินาทีนี้คงอาจไม่มีคำตอบให้เบ็ดเสร็จ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า เขาพร้อมที่จะใช้ทุกวิธีผสมผสานกัน จนกว่าวิธีการใดวิธีการหนึ่งจะนำมาซึ่งชัยชนะให้กับเขา
นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของชายชื่อทักษิณ ชินวัตร