xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการเชื่อไม่เลิกป่วน คดีแม้วยังไม่หมด-เอกชนวอนเคารพศาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - อดีต คตส.ยอมรับคำตัดสินศาล แม้มีข้อขัดแย้งกันทางกฎหมาย "นาม"ยันไม่มีใครได้รับเงินสินบน นักวิชาการเชื่อเสื้อแดงยังไม่หยุดแน่ ด้านเอกชนชี้ทุกฝ่ายต้องเคารพคำตัดสินของศาลฯ ผวาม็อบเสื้อแดงป่วนชี้ “ภัทรียา” ย้ำเฝ้าประเมินผลกระทบช่วงหยุด 3 วันอย่างใกล้ชิด


หลังจากที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผล 46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน มีความเห็นจากทั้งนักวิชาการและนักธุรกิจหลากหลาย

นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวภายหลังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ไม่สนใจ เพราะภารกิจของเราหมดแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลที่จะพิจารณา ทั้งนี้เราจะต้องเคารพในการตัดสินคดีของศาล และขอให้ยุติที่ศาล ส่วนจำนวนเงินที่ศาลยึดนั้น ตนไม่ทราบว่าเท่าไร และเงินที่ไม่ยึดเท่าไร ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นส่วนคำวินิจฉัยของศาล

นายอุดม กล่าวอีกว่า เท่าที่ฟังศาลอ่านคำวินิจฉัย ไม่ค่อยมีความขัดแย้งกับสำนวนคตส.เท่าไรนัก ส่วนใหญ่เป็นข้อเท็จจริง แต่ที่มีบางส่วนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็แค่เพียงเรื่องข้อกฎหมายที่มีความคิดแตกต่างกัน ส่วนจะหารือกับ คตส.คนอื่นอีกหรือไม่นั้น คงไม่แล้ว เพราะภารกิจเราหมดแล้วไม่น่าจะมีข้อหารือกัน แต่ถ้าหากนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. จะเรียกหารือในวันจันทร์ ก็อาจจะต้องดูก่อนว่าหารือกันเรื่องอะไร สำหรับที่มีกระแสข่าวว่าก่อนมีการอ่านคำพิพากษาของศาล มีการขู่จะทำร้าย คตส.บางคนนั้น ตนไม่ทราบ แต่เท่าที่ทราบตนเองไม่มีใครโทรมาข่มขู่

นายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. กล่าวเพียงสั้นๆว่าเป็นการตัดสินคดีของศาลเราไม่มีสิทธิ์ไปแสดงความคิดเห็น ศาลตัดสินใจอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้น

***นักวิชาการเชื่อแดงไม่หยุด

ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง ต้องแสดงความเคารพต่อคำตัดสินของศาล แต่เชื่อได้ว่าคนเสื้อแดงจะไม่หยุด เพราะระยะหลังมานี้จะเห็นได้ว่าในการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในแต่ละครั้งก็ประกาศชัดว่าต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะในนรก หรือ บนสวรรค์ พร้อมทั้งจะบงการกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อเร่งกดดัน สร้างความปั่นป่วนให้แก่รัฐบาลเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยกระบวนการจะนำมาใช้ในหลายรูปแบบทั้งในสภา และนอกสภา โดยในสภาจะใช้พรรคเพื่อไทยในการขับเคลื่อน ขณะที่นอกสภาก็นำโดยกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ซึ่งหากเป็นไปได้จริงก็จะเกิดผลดีแก่พรรคเพื่อไทย และตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ซึ่งหากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งก็จะนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กลับมาใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดในการนิรโทษกรรม แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหากเลือกตั้งได้เร็วเท่าไร ก็มีโอกาสที่จะชนะได้เร็วขึ้น และก็อาจมีการกลับมารื้อฟื้นคดีต่างๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหาหนทางแสวงผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองต่อไป

ในคำพิพากษาของศาลดังกล่าวก็มองว่าเป็นโอกาสที่จะสอนแง่คิดกับประชาชนได้เช่นกัน ในแง่นักการเมืองเองก็ต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากเจอการตรวจสอบก็อาจถูกลงโทษได้ ในส่วนประชาชนเองนี่ก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่าคนที่ประพฤติมิชอบก็ไม่อาจลอยนวลได้ ซึ่งสังคมจะได้บทเรียนอย่างมาก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีเสียงกล่าวอ้างมาตลอดจากกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยใช้ระบบ 2 มาตรฐานนั้น เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่สังคมจะยอมรับไม่ได้อีกต่อไป เพราะเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของคนที่เสียประโยชน์เท่านั้น”

รศ. วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งหลายก็คงต้องดิ้นกันต่อไป เพราะมีคดีความที่ยังรออยู่อีกหลายเรื่อง แต่ก็เชื่อว่าคนในสังคม รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังพอมีความคิด จิตสำนึกก็จะมีความเข้าใจในคำตัดสินของศาล และเหตุผลต่างๆ ที่ยกมาอ้างในการชุมนุมก็จะค่อยๆ หมดไปเช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่าสิ่งที่ต่อสู้อยู่นั้นได้ผ่านการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว
อย่างไรก็ตามคงมีแต่กลุ่มเสื้อแดงหัวรุนแรงเท่านั้นที่ยังคงต่อสู้เรียกร้องเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนส่วนหนึ่งอาจเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าความรุนแรงจะไม่ขยายตัวมากนัก อาจมีเพียงแค่กลุ่มย่อยเท่านั้น

เรื่องนี้จะทำให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาคอรัปชันมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงมีคนที่อารมณ์ค้างกับคำตัดสิน หรือคนที่หัวรุนแรงสุดโต่ง ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ทั้งนี้ในส่วนของรัฐบาลต้องพยายามอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างหนักว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกระบวนการทางกฎหมายทั้งสิ้น”

นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) กล่าวว่า ประเด็นเรื่องความไม่เป็นธรรม กล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน จะไม่จบสิ้น แต่จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนก็จะขาดหายไปบ้าง เพราะคดีความก็ได้มีคำตัดสินอย่างเด่นชัดแล้ว อย่างไรก็ตามก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังเคลื่อนไหวอยู่เพราะส่วนหนึ่งก็ไม่ได้มีจุดหมายเฉพาะเรื่องของคดีความเท่านั้น แต่เรียกร้องมากกว่านั้น ทั้งกลุ่มคนที่รักคุณทักษิณก็ยังมีอยู่มาก ทั้งนี้เหตุการณ์จะรุนแรงหรือไม่นั้นก็อยู่ที่แกนนำ

สถานการณ์นับจากนี้ไปเหมือนฝีแตก มีอยู่ 2 ทางคือ แผลหายปกติ หรือ ลุกลามหนักกว่าเดิม แต่มีแนวโน้มว่าเรื่องนี้แผลจะยิ่งลุกลามมากขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่านักการเมืองที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหลายต่อหลายคน ก็มีคดีพัวพันตั้งแต่สมัยอยู่รัฐบาลทักษิณ และเมื่อคำติดสินของศาลในออกมา เชื่อว่าบุคคลกลุ่มดังกล่าวที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจหนาวๆ ร้อนๆ ได้ และคงสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลได้ไม่น้อย”

***“เสรี"ย้ำศาลตัดสินชัดเจน

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการ กล่าวถึงการพิพากษาคดียึดทรัพย์ว่า เป็นการอ่านคำพิพากษาของศาลที่ละเอียดที่สุด มีความชัดเจนและเล่าถึงพฤติกรรมต่าง ๆ รวมทั้งคำร้องและคำคัดค้าน ซึ่งคำสั่งศาลที่พิจารณาออกมานั้นได้แบ่งเป็นประเด็นออกเป็น 5ประเด็นอย่างชัดเจน และชี้ให้เห็นการยื่นคำร้องของอัยการนั้นมีความชอบธรรม รวมทั้งการพิจารณาของศาลฎีกานั้นทำให้เห็นว่าคดียึดทรัพย์นั้นมีการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ รวมทั้งการให้อำนาจ คตส.นั้นมีสิทธิสอบสวนตามคำตัดสินของศาล และไม่มีคดีอาญาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้การพิจารณานั้นมีความเป็นธรรม การที่พิจารณายึดทรัพย์ในบางส่วนนั้นก็เป็นไปตามขบวนการของศาล

ดังนั้นคนที่ฟังคำพิพากษาของศาลจึงควรจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร เพราะคำพิพากษาของศาลนั้นถือว่ามีความยุติธรรม ไม่ควรจะออกมาเรียกร้องอะไรให้มากกว่านี้อีกแล้ว และหยุดวิพากษ์วิจารณ์แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อน

**ยันไม่มีใครได้รับเงินค่าสินบน

นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า รู้สึกพอใจกับผลงานที่ทำไว้ ถือเป็นคดีที่ คตส.ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อยู่ที่คำวินิจฉัยของศาลฏีกาออกมาก่อน และเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังคงไม่สงบ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแลและที่ผ่านมา คตส.ก็โดนข่มขู่ความปลอดภัยของชีวิตมาตลอด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

นายนามกล่าวด้วยว่า ขอยืนยันว่า คตส.หรือหน่วยงานใดๆ จะไม่มีใครได้ค่าสินบนในการดำเนินการดังกล่าวตามที่เป็นข่าว หากพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา ทรัพย์ทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐ ทางสำนักงานอัยการเป็นเป็นผู้ดำเนินการต่อไปว่าจะนำเงินทั้งหมดไปดำเนินการอย่างไร

***เอกชนย้ำคดีประวัติสาสตร์

นายเกียรติพงษ์ น้อยใจบุญ นายกสมาคมนิยมไทย เปิดเผยถึง การพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวว่า คดีดังกล่าวถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะเป็นบรรทัดฐานกระบวนความยุติธรรมของชาติที่จะต้องยอมรับ แม้ว่าจะไม่ยึดหมดก็ตาม หากไม่ยอมรับประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้เนื่องจากศาลฎีกาไม่ได้เกิดขึ้นจากการปฏิวัติแต่เป็นไปภายใต้รัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้หากกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสินแล้วหาเหตุมาประท้วงสังคมก็คงไม่ยอมรับแน่แต่หากจะประท้วงด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่นไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันก็ย่อมมีสิทธิดำเนินการได้แต่การชุมนุมก็จะต้องอยู่ภายใต้กติกาที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรงเพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีผลกระทบต่อประเทศชาติซึ่งการชุมนุมที่บ่อยครั้งขึ้นจะมีผลต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า คนไทยควรเชื่อถือในกระบวนการตัดสินของศาลฯซึ่งจะเป็นหลักสำคัญของประเทศชาติที่จะเดินหน้าต่อไปได้ และหลังจากนี้ต้องดูที่ความรุนแรงว่าจะมากแค่ไหนซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติก็เฝ้ามองอยู่

***หวั่นม็อบแรงเปิดช่องปฏิวัติ

นายสุรพร สิมะกุลธร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอกนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า คำสั่งศาลถือเป็นข้อยุติ ซึ่งทรัพย์สินที่ยึดได้ถือเป็นเรื่องดีเพราะจะได้นำมาพัฒนาประเทศ ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงถ้ารัฐบาลควบคุมได้ก็จะไม่เกิดปัญหา

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมการชุมนุมได้ ทหารออกมายึดอำนาจเพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เป็นสถานการณ์บังคับที่อาจเกิดขึ้นดังนั้นคนไทยควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะประเทศชาติบอบช้ำมามากพอแล้ว

*** จับตาดู 2 วันหลังจากนี้

นายกนก สุวรรณวิสูตร์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ภาคเหนือตอนบน) กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในภาวะปกติ แต่ต้องจับตาหลังมีคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรีออกมาแล้วจากวันนี้อีก 1 - 2 วันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หากไม่มีเหตุความรุนแรงคาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจ.เชียงใหม่มากนัก เนื่องจากขณะนี้แม้อยู่ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ ไฮซีซั่น แต่อัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวอยู่ในระดับ 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนควรอยู่ที่ 70% ส่วนหนึ่งเพราะปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่วนปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวมากนัก

ส่วนกรณี 27 ประเทศออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตนเองงดเว้นการเดินทางมาประเทศไทยช่วงที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากการวิเคราะห์ประเทศที่ออกประกาศส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศหลักๆ แต่เชื่อว่าในส่วนของนักท่องเที่ยวเองมีวิจารญาณและตัดสินใจเองได้ว่าควรจะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยหรือไม่ จึงต้องประเมินสถานการณ์ตามกลุ่มตลาด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากผ่านพ้นวันตัดสินภายใน 1 - 2 วันถ้าไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร

นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ รองประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ หอการค้าไทย ในฐานะรองประธานหอการค้าภาคเหนือ กล่าวเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า คำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีผลตามมาอย่างแน่นอนต่อความรู้สึกของผู้ที่สมหวังและผู้ที่ผิดหวัง รวมทั้งจะมีผลกระทบเกิดขึ้นกับคนทั้ง 3 ส่วน คือ คนที่สมหวัง คนที่ผิดหวัง และคนที่อยู่ตรงกลาง เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

นอกจากผลกระทบต่อผู้คนที่คาดหวังต่อผลการตัดสินที่แตกต่างกัน ประเด็นดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ นักลงทุนและนักท่องเที่ยวหากมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ที่เห็นชัดเจนขณะนี้น่าจะเป็นผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว เพราะ 27 ประเทศ ได้ประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวของตนเองให้หลีกเลี่ยงหรืองดเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยในช่วงนี้แล้ว

นายไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการบริหารกรุ๊ปบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดและบริษัทในเครือ กล่าวว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เค้าก็ผิดทุกข้อกล่าวหา การยึดทรัพย์ครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ขออย่างเดียว ขอให้เรื่องจบ ขณะนี้หลายฝ่าย อ่อนแรง เบื่อหน่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ก็มีเรื่องแตกแยก รวมไปถึงรัฐบาล นักธุรกิจเองก็เบื่อหน่าย

สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26ก.พ.) ปิดที่ระดับ 721.37 จุด เพิ่มขึ้น 4.27 จุด หรือ +0.60% มูลค่าการซื้อขาย 19,704.70 ล้านบาท โดยยังคงบวกได้จากแรงซื้อที่เข้ามา ขณะที่ศาลฎีกาฯ ยังอ่านคำพิพากษาไม่จบ ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,170.69 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบัน ซื้อสุทธิ 459.79 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 ก.พ.) เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดัชนีราคาหุ้นยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ และไม่ผันผวนอย่างที่วิตกกังวลจนไม่ถึงขั้นต้องใช้มาตรการพักการซื้อขายชั่วคราว หรือ เซอร์กิต เบรกเกอร์ อย่างไรก็ตาม จะมีการประเมินในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง 3 วันนี้ว่า เหตุการณ์สืบเนื่องจากคำตัดสินคดียึดทรัพย์จะมีผลต่อภาวะตลาดหุ้นที่จะเปิดการซื้อขายในวันอังคารที่ 2 มี.ค.หรือไม่อย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น