วานนี้ ( 24 ก.พ.) ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ประธานคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดี 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ของประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งเอกสาร และบุคคลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการอนุมัติจ่ายเงิน 258 ล้านบาทนั้นมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และพยายามทำให้เสร็จภายในเดือนมี.ค. ซึ่งตอนนี้ทางคณะทำงานฯจะต้องพยายามสอบให้ได้ว่าเงินที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นำมาใช้ขณะนั้นมีการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และขออนุญาตศาลหรือไม่ ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องทำหนังสือถึงศาล เพื่อสอบถามเรื่องต่างๆเหล่านี้ รวมถึงทำหนังสือถึงธนาคารเพื่อให้ตรวจสอบว่า เช็คที่อ้างว่ามีการสั่งจ่ายนั้นใครเป็นผู้รับ ซึ่งทางดีเอสไอ บอกว่ามีข้อมูลครบถ้วนแล้วทำไมถึงยังไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้นจะหาว่าเราล้วงลูกก็ต้องทำ เพราะไม่อยากต้องโยนกลับไปดีเอสไอ อีก
"เพราะมันจะเหมือนการเล่นขายของ ที่โยนกลับไปกลับมา ซึ่งบริษัททีพีไอโพลีน อนุมัติจ่ายได้อย่างไร เพราะบริษัทยังอยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยเราต้องขอคำสั่งอนุมัติจ่ายเงินจากศาล รวมถึงบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้น และข้อบังคับต่างๆ ของบริษัท ซึ่งเรื่องต่างๆ ที่เรากำลังหานี้ ไม่มีระบุอยู่ในสำนวนของ ดีเอสไอ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยระบุว่า ได้ทำสำนวนมาอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม คณะทำงานยืนยัน การดำเนินการในชั้นนี้ เมื่อเสร็จแล้วเราจะใช้ดุลพินิจทำความเห็นไปเลยว่า สมควรเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคหรือไม่ เพราะเรามีสิทธิในการใช้ดุลพินิจ" ม.ล.ประทีป กล่าว และว่า ในเมื่อรับลูกเขามาแล้ว แต่เขาหายังไม่ครบ เราก็หาเพิ่มเติม และหากได้ข้อมูลมา ก็จะส่งกลับไปให้ดีเอสไอ เพื่อนำไปใช้เพิ่มในการฟ้องศาลได้ เช่นกัน
ม.ล.ประทีป กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เห็นสำนวน ที่ทางดีเอสไอส่งมาก่อนเลย ทำให้การทำงานของคณะทำงาน เป็นลักษณะอ่านไปทำไป เจอข้อสงสัยตรงไหนก็บันทึกเอาไว้ และสอบเพิ่มเติม เช่น องค์ประกอบความผิดครบหรือไม่ เรื่องราวมีเจตนาทำผิดหรือประมาทเลินเล่อ เงินที่ว่าได้รับกันมานั้นเป็นการได้รับในนามส่วนตัว หรือในนามพรรค และเป็นการนำเงินไปใช้ในทางผิดกฎหมาย เลือกตั้ง เช่นทุจริตเลือกตั้งหรือซื้อเสียงหรือไม่
เมื่อถามว่ากรณี 258 ล้าน จะนำไปสู่การยุบพรรคได้หรือไม่หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เงินนั้นถูกนำไปใช้ในการทุจริตเลือกตั้ง ม.ล.ประทีป กล่าวว่า ตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมืองปี 50 ระบุว่า ห้ามรับเงินที่มีผู้บริจาคให้พรรคโดยที่ไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาค นอกจากนี้ มาตรา 65 ยังระบุว่า ห้ามรับเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพรรคไปรับมา ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามมาตรา 94
"สิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้ชัดคือ เงิน 258 ล้านบาทนั้น บริษัททีพีไอโพลีนอนุญาตให้นายประชัย นำมาใช้หรือไม่ ถ้าไม่ก็เท่ากับเป็นการยักยอกทรัพย์ ซึ่งมีความผิด เรื่องนี้หากพูดง่ายๆก็คือ หากเงินที่ได้เป็นเงินโจร พรรคไปรับก็เหมือนรับของโจร แต่ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า ที่รับมานั้น รับในนามพรรค หรือในนามบุคคล" ม.ล.ประทีป กล่าว และว่าถ้าเป็นนามบุคคล ก็เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องดำเนินคดีอาญา แต่ถ้าเป็นพรรค ก็สามารถไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้
อย่างไรก็ตาม ม.ล.ประทีป ยอมรับว่า กรณีนี้จะหาหลักฐานการเชื่อมโยงกับพรรคก็เป็นเรื่องยาก เพราะคนที่ทำผิดก็คงไม่ทิ้งหลักฐาน เหมือนที่บริษัทยังมี 2 บัญชี คือ บัญชีที่ใช้จริง และใช้แสดง หากจะเอาผิดเราต้องหาหลักฐานแวดล้อมให้มากที่สุด
ม.ล.ประทีปกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงโจมตีว่า เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเคยเป็นผู้ว่าฯ จ.สุราษฎร์ธานี ว่า ตนก็รู้จักกับหลายคน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็รู้จักกันเพราะเขาเคยพาคนไปปิดล้อมศาลากลาง เขารู้ดีว่า นิสัยตนเป็นคนอย่างไร นาย วีระ มุสิกพงศ์ ก็รู้จักกัน ในพรรคเพื่อไทยก็รู้จักหลายคน เช่น นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับในพรรคประชาธิปัตย์ เราจะรู้จักใครไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องดูว่าพฤติกรรมเป็นคนอย่างไร แต่เมื่อตนมารับ ประธานคณะทำงานฯ ก็มีคนโทรมาต่อว่า รวมทั้งเขียนเป็นบัตรสนเท่ห์ กล่าวหาเช่น เป็นเจ้าชั้นปลายน้ำ ทำมาอวดดี ไม่มีจุดยืน เข้ามาเพื่ออุ้มพรรคประชาธิปัตย์
"เพราะมันจะเหมือนการเล่นขายของ ที่โยนกลับไปกลับมา ซึ่งบริษัททีพีไอโพลีน อนุมัติจ่ายได้อย่างไร เพราะบริษัทยังอยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยเราต้องขอคำสั่งอนุมัติจ่ายเงินจากศาล รวมถึงบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้น และข้อบังคับต่างๆ ของบริษัท ซึ่งเรื่องต่างๆ ที่เรากำลังหานี้ ไม่มีระบุอยู่ในสำนวนของ ดีเอสไอ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยระบุว่า ได้ทำสำนวนมาอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม คณะทำงานยืนยัน การดำเนินการในชั้นนี้ เมื่อเสร็จแล้วเราจะใช้ดุลพินิจทำความเห็นไปเลยว่า สมควรเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคหรือไม่ เพราะเรามีสิทธิในการใช้ดุลพินิจ" ม.ล.ประทีป กล่าว และว่า ในเมื่อรับลูกเขามาแล้ว แต่เขาหายังไม่ครบ เราก็หาเพิ่มเติม และหากได้ข้อมูลมา ก็จะส่งกลับไปให้ดีเอสไอ เพื่อนำไปใช้เพิ่มในการฟ้องศาลได้ เช่นกัน
ม.ล.ประทีป กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เห็นสำนวน ที่ทางดีเอสไอส่งมาก่อนเลย ทำให้การทำงานของคณะทำงาน เป็นลักษณะอ่านไปทำไป เจอข้อสงสัยตรงไหนก็บันทึกเอาไว้ และสอบเพิ่มเติม เช่น องค์ประกอบความผิดครบหรือไม่ เรื่องราวมีเจตนาทำผิดหรือประมาทเลินเล่อ เงินที่ว่าได้รับกันมานั้นเป็นการได้รับในนามส่วนตัว หรือในนามพรรค และเป็นการนำเงินไปใช้ในทางผิดกฎหมาย เลือกตั้ง เช่นทุจริตเลือกตั้งหรือซื้อเสียงหรือไม่
เมื่อถามว่ากรณี 258 ล้าน จะนำไปสู่การยุบพรรคได้หรือไม่หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เงินนั้นถูกนำไปใช้ในการทุจริตเลือกตั้ง ม.ล.ประทีป กล่าวว่า ตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมืองปี 50 ระบุว่า ห้ามรับเงินที่มีผู้บริจาคให้พรรคโดยที่ไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาค นอกจากนี้ มาตรา 65 ยังระบุว่า ห้ามรับเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพรรคไปรับมา ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามมาตรา 94
"สิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้ชัดคือ เงิน 258 ล้านบาทนั้น บริษัททีพีไอโพลีนอนุญาตให้นายประชัย นำมาใช้หรือไม่ ถ้าไม่ก็เท่ากับเป็นการยักยอกทรัพย์ ซึ่งมีความผิด เรื่องนี้หากพูดง่ายๆก็คือ หากเงินที่ได้เป็นเงินโจร พรรคไปรับก็เหมือนรับของโจร แต่ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า ที่รับมานั้น รับในนามพรรค หรือในนามบุคคล" ม.ล.ประทีป กล่าว และว่าถ้าเป็นนามบุคคล ก็เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องดำเนินคดีอาญา แต่ถ้าเป็นพรรค ก็สามารถไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้
อย่างไรก็ตาม ม.ล.ประทีป ยอมรับว่า กรณีนี้จะหาหลักฐานการเชื่อมโยงกับพรรคก็เป็นเรื่องยาก เพราะคนที่ทำผิดก็คงไม่ทิ้งหลักฐาน เหมือนที่บริษัทยังมี 2 บัญชี คือ บัญชีที่ใช้จริง และใช้แสดง หากจะเอาผิดเราต้องหาหลักฐานแวดล้อมให้มากที่สุด
ม.ล.ประทีปกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงโจมตีว่า เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเคยเป็นผู้ว่าฯ จ.สุราษฎร์ธานี ว่า ตนก็รู้จักกับหลายคน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็รู้จักกันเพราะเขาเคยพาคนไปปิดล้อมศาลากลาง เขารู้ดีว่า นิสัยตนเป็นคนอย่างไร นาย วีระ มุสิกพงศ์ ก็รู้จักกัน ในพรรคเพื่อไทยก็รู้จักหลายคน เช่น นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับในพรรคประชาธิปัตย์ เราจะรู้จักใครไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องดูว่าพฤติกรรมเป็นคนอย่างไร แต่เมื่อตนมารับ ประธานคณะทำงานฯ ก็มีคนโทรมาต่อว่า รวมทั้งเขียนเป็นบัตรสนเท่ห์ กล่าวหาเช่น เป็นเจ้าชั้นปลายน้ำ ทำมาอวดดี ไม่มีจุดยืน เข้ามาเพื่ออุ้มพรรคประชาธิปัตย์