ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้ว่าการธปท.ชี้การเมืองสงบเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ระบุศักยภาพไทยสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าประเทศอื่น หากไม่มีการเมืองตัวฉุด จี้รัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่แนวโน้มสินเชื่อปี 53 มีโอกาสโต 10% ตามเป้าที่นายแบงก์ประเมิน หลังแนวโน้มความต้องการสินเชื่อเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่สดใสขึ้น ส่วนเงินนอกยังเข้าไทยต่อเนื่องผ่านตลาดหุ้นและพันธบัตร
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมองว่าหากทุกอย่างสามารถสงบเรียบร้อยลงได้ก็จะเป็นประโยชน์ที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น หลังจากมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะนี้ยังไม่มีสถาบันการเงินรายใดขอความช่วยเหลือเข้ามา แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินทุกแห่งต่างมีการเตรียมการที่ดี ซึ่งรวมถึงการดูแลสภาพคล่องและความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าอยู่แล้ว
"ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าประเทศอื่น หากภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้ภาคเอกชนกล้าลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยการเมืองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งทุกคนอยากให้บ้านเมืองนิ่งและเกิดความสามัคคีในประเทศชาติ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องมีหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด เพื่อฟื้นฟูความมั่นใจของนักลงทุน"
สำหรับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ปีนี้มีความเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มองว่าอยู่ที่ระดับ 10% โดยเห็นได้จากขณะนี้ภาคธุรกิจเริ่มเดินหน้าได้มากขึ้น ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่สดใสขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารก็มีการระมัดระวังปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจปี 40ว่าหากเศรษฐกิจเติบโตไม่ยั่งยืนก็เกิดปัญหาฟองสบู่แตกและเมื่อหล่นลงมาจะสร้างความเจ็บปวดได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนหรือตามศักยภาพที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุด
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ในส่วนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ยังคงมีไหลเข้ามา แต่ก็ไม่มากจนเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนผ่านตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล เช่นเดียวกับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ยังเข้ามาต่อเนื่อง ต่างกับปีก่อนที่เฉลี่ยในแต่ละเดือนลดลง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็มองว่าไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การส่งออกการท่องเที่ยวและรายได้เกษตรกรดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจสามารถยังเดินหน้าต่อไปได้และแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"โอกาสเงินไหลเข้าภูมิภาคเอเชียมีมากขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้มีพอๆกันจากภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าสหรัฐหรือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ซึ่งยิ่งใครขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าก็จะเกิดความผันผวนมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่คาดเดายากมาก เพราะนอกจากเป็นดูจากทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย"ผู้ว่าการธปท.กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลออกมาระบุว่าขณะนี้มีเงินทุนไหลเข้ามายังไทยผิดปกตินั้น ธปท.จะมีเฉพาะข้อมูลผ่านธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่เท่าที่ตรวจสอบดูไม่มีอะไรผิดปกติ และรัฐบาลยังไม่ได้ขอความช่วยเหลือให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นข้อมูลจากที่อื่นมากกว่า
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมองว่าหากทุกอย่างสามารถสงบเรียบร้อยลงได้ก็จะเป็นประโยชน์ที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น หลังจากมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะนี้ยังไม่มีสถาบันการเงินรายใดขอความช่วยเหลือเข้ามา แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินทุกแห่งต่างมีการเตรียมการที่ดี ซึ่งรวมถึงการดูแลสภาพคล่องและความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าอยู่แล้ว
"ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าประเทศอื่น หากภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้ภาคเอกชนกล้าลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยการเมืองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งทุกคนอยากให้บ้านเมืองนิ่งและเกิดความสามัคคีในประเทศชาติ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องมีหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด เพื่อฟื้นฟูความมั่นใจของนักลงทุน"
สำหรับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ปีนี้มีความเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มองว่าอยู่ที่ระดับ 10% โดยเห็นได้จากขณะนี้ภาคธุรกิจเริ่มเดินหน้าได้มากขึ้น ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่สดใสขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารก็มีการระมัดระวังปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจปี 40ว่าหากเศรษฐกิจเติบโตไม่ยั่งยืนก็เกิดปัญหาฟองสบู่แตกและเมื่อหล่นลงมาจะสร้างความเจ็บปวดได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนหรือตามศักยภาพที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุด
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ในส่วนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ยังคงมีไหลเข้ามา แต่ก็ไม่มากจนเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนผ่านตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล เช่นเดียวกับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ยังเข้ามาต่อเนื่อง ต่างกับปีก่อนที่เฉลี่ยในแต่ละเดือนลดลง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็มองว่าไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การส่งออกการท่องเที่ยวและรายได้เกษตรกรดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจสามารถยังเดินหน้าต่อไปได้และแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"โอกาสเงินไหลเข้าภูมิภาคเอเชียมีมากขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้มีพอๆกันจากภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าสหรัฐหรือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ซึ่งยิ่งใครขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าก็จะเกิดความผันผวนมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่คาดเดายากมาก เพราะนอกจากเป็นดูจากทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย"ผู้ว่าการธปท.กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลออกมาระบุว่าขณะนี้มีเงินทุนไหลเข้ามายังไทยผิดปกตินั้น ธปท.จะมีเฉพาะข้อมูลผ่านธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่เท่าที่ตรวจสอบดูไม่มีอะไรผิดปกติ และรัฐบาลยังไม่ได้ขอความช่วยเหลือให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นข้อมูลจากที่อื่นมากกว่า
