xs
xsm
sm
md
lg

ศาลคือที่พึ่งแหล่งสุดท้ายของประชาชน

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

จากวันนี้ไปก็เหลือเวลาเพียง 7 วัน หรือ 4 วันทำการ ก็จะถึงกำหนดการตัดสินคดีประวัติศาสตร์ของประเทศ คือคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ต้องนับว่านี่คือจุดชี้ขาดสำคัญอีกจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าจะบ่ายโฉมหน้าไปอย่างไรต่อไป

ความจริงเงิน 76,000 ล้านบาทนี้เริ่มมีปัญหามาตั้งแต่คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะในพลันที่มีบิ๊กโม่งทางการเงินคนหนึ่งนำข้อมูลตัวเลขการเงินของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปมอบให้แก่คณะปฏิวัติแล้ว ก็ได้ทำให้เนื้อหาของการปฏิวัตินั้นเปลี่ยนโฉมหน้าไป และการต่อรองเรื่องผลประโยชน์ก็ได้เข้ามามีบทบาทที่สำคัญ

ทำให้สิ่งควรทำไม่ได้ทำ ทำให้สิ่งที่ไม่ควรทำได้เกิดขึ้นอย่างน่าพิศวง และในที่สุดก็ได้ทำลายเนื้อหาของการยึดอำนาจในครั้งนั้นจนแทบจะสิ้นเชิง และทำให้เกิดแผลเน่าเรื้อรังที่ขยายขอบเขตและระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ถ้ามองในแง่หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็กล่าวได้ว่านั่นก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งที่ใครทำกรรมอันใดไว้ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้น เป็นแต่ว่าผลแห่งกรรมดังกล่าวหาได้รับแต่เฉพาะผู้ก่อกรรมไม่ กลับส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่ออาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดินด้วย

ในที่สุดก็มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐคณะแรกขึ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่พิกลพิการเพราะมีการวางหมากโดยสามขรัวทางกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยวางหมากและทำมาหากินจากการยึดทรัพย์ทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหาร

แต่คราวนี้ถูกจับได้ว่ามีการวางหมาก ดังนั้นเพียงแค่ไม่กี่วันก็มีการยกเลิกคำสั่งฉบับแรกและออกคำสั่งเป็นประกาศฉบับที่ 30 มาแทนที่ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการตรวจสอบชุดใหม่ขึ้นมาแทน

การตรวจสอบได้ดำเนินการไปอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้มีอำนาจ แม้แค่ความร่วมมือในการสร้างความถูกต้องหรือการได้มาซึ่งพยานหลักฐานก็ถูกขัดขวางอย่างหน้าตาเฉย และวันนี้ผู้ก่อกรรมนั้นก็ได้รับกรรมไปบางส่วนแล้ว

แม้กระนั้นการทำงานของคณะตรวจสอบก็ดำเนินการรุดหน้าไป แต่ไม่สามารถแล้วเสร็จในกำหนด งานส่วนใหญ่ต้องถูกถ่ายโอนไปยัง ป.ป.ช. รวมทั้งการดำเนินคดีฐานร่ำรวยผิดปกติในการขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินประมาณ 76,000 ล้านบาทตกเป็นของรัฐด้วย

ในระหว่างการทำงานของคณะตรวจสอบ นอกจากการไม่ได้รับความร่วมมือแล้ว ยังปรากฏข่าวการข่มขู่คุกคามถึงขนาดจะเผาบ้านของผู้เกี่ยวข้อง กระทั่งเหตุการณ์ลอบสังหารก็เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ในที่สุดกระบวนการก็ดำเนินรุดหน้าไป จนเรื่องไปอยู่ในมือของ ป.ป.ช.

เมื่อเรื่องไปอยู่ในมือของ ป.ป.ช. ปรากฏการณ์ข่มขู่คุกคามหลากหลายชนิดก็เกิดขึ้นกับ ป.ป.ช. อีก แต่ในที่สุดกระบวนการก็ไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจนได้

การพิจารณาพิพากษาคดีในคดีนี้ประกอบด้วยหลักกฎหมายใหญ่ 2 หลัก คือ

หลักแรก เป็นหลักกฎหมาย ป.ป.ช. ประกอบประกาศ คมช. ฉบับที่ 30 ซึ่งสรุปความได้ว่าเป็นหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาที่จะต้องพิสูจน์ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้นั้นได้มาโดยชอบ ไม่มีการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริต หรือได้มาโดยไม่สมควรด้วยประการอื่น หากพิสูจน์ไม่ได้ทรัพย์สินก็จะต้องตกเป็นของรัฐ

หลักที่สอง เป็นหลักกฎหมายในการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นคนละระบบกับการพิจารณาพิพากษาของศาลสถิตยุติธรรมทั่วไป นั่นคือใช้ระบบไต่สวนแทนระบบกล่าวหา

ซึ่งหมายความว่านอกจากคู่ความจะต้องทำหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานตามภาระการพิสูจน์ที่มีหน้าที่ต้องพิสูจน์แล้ว ศาลยังมีอำนาจที่จะเรียกพยานหรือแสวงหาพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเพื่อการทำความจริงให้ปรากฏ

กระบวนการในการพิจารณาของศาลได้กระทำโดยเปิดเผย และให้โอกาสแก่คู่ความอย่างเต็มที่ และคู่ความก็ได้ใช้สิทธิ์ของตนในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน โดยปรากฏว่าจำนวนพยานหลักฐานก็ดี จำนวนวันในการพิสูจน์พยานหลักฐานก็ดี ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมากและใช้มากกว่าฝ่ายของ ป.ป.ช. ซึ่งมีสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้แทนหลายเท่า

แต่อย่าลืมว่าในการรับฟังพยานหลักฐานนั้น การจะรับฟังประการใดไม่ใช่อยู่ที่จำนวนมากของพยานหลักฐานหรือเวลาที่ใช้ในการนำสืบพยานหลักฐาน หากแต่อยู่ที่เนื้อหาแท้จริงของพยานหลักฐานว่าพิสูจน์ความจริงได้อย่างไร นั่นแหละจะเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาวินิจฉัยคดี

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ดี องค์คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาก็ดี กฎหมาย ป.ป.ช. ที่ใช้บังคับกับคดีนี้ก็ดี และวิธีพิจารณาความของศาลก็ดี ล้วนมีมาช้านานแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่อาจกล่าวหาใดๆ ได้เลยว่าตั้งขึ้นหรือถูกครอบงำแทรกแซงโดยคณะปฏิวัติ

แม้กระนั้นตลอดระยะเวลาที่มีการพิจารณาเรื่องนี้ ก็มีการกล่าวหาด่าศาลกันอย่างสนุกปากว่า เรื่องนี้เป็นผลมาจากการรัฐประหารบ้าง เป็นกฎหมายของเผด็จการบ้าง หรือผู้พิพากษาเป็นลูกน้องของอำมาตย์บ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นเท็จ

ทว่าความเท็จที่พูดแล้วพูดอีกพูดเล่า วันแล้ววันเล่านั้น นานวันเข้าคนจำนวนหนึ่งก็ยึดมั่นถือมั่นเอาว่านั่นแหละความจริง เป็นไปดังคำพังเพยไทยที่ว่า “อันเสาศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก แม้ผลักทุกวันเข้าเสาก็ไหว”

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐไม่นำความจริงออกบอกกล่าวแก่ประชาชน ไม่ทำความเข้าใจในหมู่ประชาชน และไม่โต้แย้งการสำแดงความเท็จในหมู่ประชาชน จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดแล้วเกิดความแตกแยกแตกสามัคคีเป็นฝักฝ่าย จนใกล้จะเป็นสงครามกลางเมืองดังที่เห็นๆ กันอยู่

นอกจากการกล่าวหาด่าศาลและกฎหมายแล้ว การข่มขู่คุกคามผู้พิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีนี้ก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เกิดขึ้นในลักษณะโดยรวมคือข่มขู่ศาลในเชิงสถาบัน ข่มขู่คณะผู้พิพากษาในลักษณะรวมของบุคคลที่ทำหน้าที่ตุลาการ และข่มขู่คุกคามเป็นรายบุคคล ไม่ว่าข่มขู่โดยตรงเฉพาะตัวหรือข่มขู่ผ่านครอบครัวลูกเมียก็ตามที

ไม่เพียงแต่ขู่เท่านั้น หากยังมีปฏิบัติการที่เป็นจริงให้ปรากฏด้วย ไม่ว่าการวางระเบิดหรือการยิงระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วก็ตาม

ยิ่งใกล้วันตัดสินคดี การข่มขู่คุกคามก็เข้มข้น ถึงขนาดประกาศเอาชีวิตคณะผู้พิพากษาในคดีนี้กันอย่างโจ่งแจ้งทางสื่อมวลชน ไม่ว่าจะผ่านทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือโดยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก็ตาม

ในที่สุดรัฐบาลก็จำเป็นต้องการให้การอารักขาคณะผู้พิพากษาตลอดจนลูกเมียครอบครัวที่กำลังตกอยู่ในอันตรายขั้นวิกฤต ถึงขนาดต้องจัดที่พักลับให้กับคณะผู้พิพากษา จัดกองกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลคุ้มครองความปลอดภัย

การกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำของคนโง่และสิ้นคิดโดยแท้ เพราะคนเหล่านั้นไม่รู้ไม่เข้าใจว่าวิสัยผู้พิพากษาตุลาการนั้นมั่นอยู่ในความบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความองอาจกล้าหาญในการทำหน้าที่ มีสติปัญญาและประสบการณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยคดีตามพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์อย่างช่ำชอง

แต่ละท่านล้วนเคยผ่านการตัดสินประหารชีวิตผู้คนมามากมาย เคยตัดสินริบยึดทรัพย์สินมาก็มาก ตัดสินให้ชดใช้เงินทองก็มากหลาย และย่อมเผชิญหน้ากับการข่มขู่คุกคามมาด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นไหนเลยจะหวั่นไหวไปด้วยคำข่มขู่คุกคาม

แม้กระนั้นแล้วยิ่งใกล้วันตัดสินคดี สถานการณ์ของบ้านเมืองก็ประหนึ่งตกอยู่ในท่ามกลางศึกสงคราม มีการเตรียมรุก เตรียมรับกันประหนึ่งกำลังเตรียมทำศึกกับคนต่างด้าวเท้าต่างแดน ทั้งที่แท้ก็เป็นคนเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันและไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ ส่วนตัวเลย

ความยุติธรรมยังต้องดำเนินไป ดุจดั่งพระอาทิตย์ที่ย่อมมีปกติทอแสงเจิดจ้าทางบูรพาทิศในยามอรุณ จะไม่มีวันดับ จะไม่มีวันถูกทำลายให้เสื่อมสลายไปเป็นอันขาด

ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นไหนเพียงใดหรือไม่ การตัดสินคดีของศาลก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ขอคนทั้งหลายจงวางใจและมั่นใจในการประสาธน์ความยุติธรรมของศาลเถิด เพราะ “คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมของศาลเป็นที่ตั้ง และศาลคือที่พึ่งแหล่งสุดท้ายของประชาชน”.
กำลังโหลดความคิดเห็น