จันทบุรี - ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ชี้สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไม่กระทบการค้าชายแดน พร้อมเผยแนวโน้มเศรษฐกิจชายแดนปี 53 จันท์-ตราด สดใส
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าตามแนวชายแดนด้านประเทศกัมพูชาอย่างแน่นอน โดยระบุว่าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตที่ไม่ราบรื่น ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะนิ่งและเข้าสู่ปกติหรือใกล้เคียง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเศรษฐกิจแต่อย่างใด ซึ่งจากข้อมูลของหอการค้าจังหวัดที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชายังพบว่า ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ การค้า-ขาย ของทั้ง 2 ประเทศยังคงเป็นปกติดี และมีแนวโน้มดีขึ้นด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั่นเอง
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจการค้าชายแดนของจังหวัดจันทบุรีและตราด ในปี 2553 ว่า ค่อนข้างสดใส โดยเป็นผลมาจากความคล่องตัวของการเปิดเขตการค้าเสรีอาเชียน ซึ่งจังหวัดจันทบุรีและตราด เป็นช่องทางหลักที่สินค้าส่วนใหญ่จะออกจากฝั่งไทย ไปประเทศกัมพูชา และเวียดนาม พร้อมกับนำสินค้าคืนเข้าสู่ฝั่งไทยในช่องทางเดิม สำหรับสินค้าในปี 2553 ที่มีแนวโน้มเติบโตมากในการส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา และเวียดนามผ่านทางจังหวัดจันทบุรีและตราด ได้แก่ สินค้าประเภทเครื่องดื่ม อุปกรณ์สำนักงาน และผลไม้
นอกจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว เม็ดเงินการลงทุนจะเข้ามาในทวีปเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ที่ถือว่ากำลังมีการพัฒนาประเทศเป็นการเร่งด่วน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการท่องเที่ยวจากประเทศตะวันตกและประเทศในแถบเอเชียด้วยกัน ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้ชาวกัมพูชาและเวียดนาม มีเงินเพิ่มมากขึ้น ภาคธุรกิจการลงทุนมากขึ้น รัฐบาลมีการใช้เงินมากขึ้น ความจำเป็นในการใช้สินค้าผ่านทางประเทศไทยก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
สำหรับจังหวัดจันทบุรีและตราดถือเป็นเส้นทางเศรษฐกิจเปิดใหม่ หากมีการจัดระบบคมนาคมที่ดีจะช่วยให้เขตการค้าจากจังหวัดจันทบุรีและตราด ไปยังกัมพูชา และเวียดนาม จะค่อยๆเติบโตขึ้นและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อประชากรจาก 2 ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น ความจำเป็นในการใช้สินค้าคุณภาพจากไทยก็จะเพิ่มอย่างแน่นอน ซึ่งในปีที่ผ่านมามูลค่าทางการค้าของจังหวัดจันทบุรี จำนวน 3,000 ล้านบาท ในปี 2553 นี้ น่าจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นกว่า 3,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าตามแนวชายแดนด้านประเทศกัมพูชาอย่างแน่นอน โดยระบุว่าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตที่ไม่ราบรื่น ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะนิ่งและเข้าสู่ปกติหรือใกล้เคียง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเศรษฐกิจแต่อย่างใด ซึ่งจากข้อมูลของหอการค้าจังหวัดที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชายังพบว่า ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ การค้า-ขาย ของทั้ง 2 ประเทศยังคงเป็นปกติดี และมีแนวโน้มดีขึ้นด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั่นเอง
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจการค้าชายแดนของจังหวัดจันทบุรีและตราด ในปี 2553 ว่า ค่อนข้างสดใส โดยเป็นผลมาจากความคล่องตัวของการเปิดเขตการค้าเสรีอาเชียน ซึ่งจังหวัดจันทบุรีและตราด เป็นช่องทางหลักที่สินค้าส่วนใหญ่จะออกจากฝั่งไทย ไปประเทศกัมพูชา และเวียดนาม พร้อมกับนำสินค้าคืนเข้าสู่ฝั่งไทยในช่องทางเดิม สำหรับสินค้าในปี 2553 ที่มีแนวโน้มเติบโตมากในการส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา และเวียดนามผ่านทางจังหวัดจันทบุรีและตราด ได้แก่ สินค้าประเภทเครื่องดื่ม อุปกรณ์สำนักงาน และผลไม้
นอกจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว เม็ดเงินการลงทุนจะเข้ามาในทวีปเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ที่ถือว่ากำลังมีการพัฒนาประเทศเป็นการเร่งด่วน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการท่องเที่ยวจากประเทศตะวันตกและประเทศในแถบเอเชียด้วยกัน ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้ชาวกัมพูชาและเวียดนาม มีเงินเพิ่มมากขึ้น ภาคธุรกิจการลงทุนมากขึ้น รัฐบาลมีการใช้เงินมากขึ้น ความจำเป็นในการใช้สินค้าผ่านทางประเทศไทยก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
สำหรับจังหวัดจันทบุรีและตราดถือเป็นเส้นทางเศรษฐกิจเปิดใหม่ หากมีการจัดระบบคมนาคมที่ดีจะช่วยให้เขตการค้าจากจังหวัดจันทบุรีและตราด ไปยังกัมพูชา และเวียดนาม จะค่อยๆเติบโตขึ้นและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อประชากรจาก 2 ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น ความจำเป็นในการใช้สินค้าคุณภาพจากไทยก็จะเพิ่มอย่างแน่นอน ซึ่งในปีที่ผ่านมามูลค่าทางการค้าของจังหวัดจันทบุรี จำนวน 3,000 ล้านบาท ในปี 2553 นี้ น่าจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นกว่า 3,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน