เลวมาก! คนร้ายปฏิบัติการป่วนบ้านป่วนเมืองใกล้วันพิพากษายึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ยิงเอ็ม 79 หมายถล่มทำเนียบรัฐบาล แต่พลาดไปตกในพาณิชย์พระนคร แต่ที่ร้ายแรง ยัดระเบิดซีโฟร์ 3 ปอนด์ใส่กล่องน้ำผลไม้ ไปวางข้างศาลฎีกาสนามหลวง โชคดีรปภ.ไปพบก่อน ตำรวจยังไม่กล้าเข้าเก็บกู้ ต้องจัดการทำลายทิ้ง ขณะที่ศาลยัน ไม่มีการย้ายสถานที่อ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์"ทักษิณ"
วานนี้ (14 ก.พ.) เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 และวางระเบิดซีโฟร์ในสถานที่สำคัญของทางราชการขึ้น 2 แห่งซ้อนภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 13 ก.พ. เกิดเหตุระเบิดเสียงดังสนั่น ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชย์พระนคร แขวงดุสิต เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทำเนียบรัฐบาล ห่างกันเพียงประมาณ 50 เมตร มีเพียงคลองผดุงกรุงเกษมกั้นอยู่ เท่านั้น
**ยิงเอ็ม79ถล่มทำเนียบพลาด
จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณประตูที่ 3 ด้านข้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชย์พระนครฝั่งถนนพระราม 5 ริงคลองผดุงกรุงเกษม ภายหลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทธิ์วิชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้เดินทางเข้าตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลจำนวนหนึ่งและได้กันกลุ่มผู้สื่อข่าวไม่ให้เข้าถ่ายภาพบันทึกข่าวด้านในมหาวิทยาลัย โดยเข้าตรวจสอบความเสียหายนานประมาณครึ่งชั่วโมง
การตรวจสอบดังกล่าวพบว่า มีรอยถากบนต้นไม้ และแรงระเบิดทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่ภายในได้รับความเสียหาย 3 คัน ประกอบด้วย รถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ซอ 9810 กทม. รถยนต์เก๋งมิตซูบิชิ แลนเซอร์ หมายเลขทะเบียน ชศ 2050 กทม. และรถยนต์เก๋งโตโยต้า โคโรลล่า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน 8ง-6331 กทม. ได้รับความเสียหายบริเวณกระจกด้านข้างฝั่งผู้โดยสารร้าวต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ท.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วรวิทย์ จันทร์จำเริญ รอง ผบก.น.1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานตรวจสอบ เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ บริเวณซุ้มศาลา ชื่อ หัวลำโพง 2472 ภายในมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด กระจายเป็นมุมกว้าง ในเบื้องต้นทางเจ้ากน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ยืนยันว่าเป็นระเบิดขนาดหัวกระสุน M 79 แต่ทั้งนี้ต้องนำหลักฐานทั้งหมดส่งตรวจ โดยละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบบริเวณ จุดเกิดเหตุแล้ว ได้ทำการวัดวิธีกระสุน จากบริเวณ หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่ามีวีการยิงมากจากที่ใด
**นายกฯชี้เป้าหมายทำเนียบ-ป.ป.ช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากำลังตรวจสอบรายละเอียดของอาวุธที่ใช้ และสถานที่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นใกล้กับทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่กำลังดูวิถีของระเบิดอยู่
"เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณ 22.00 น. เศษ (13 ก.พ.) ซึ่งในเวลาดังกล่าวไม่มีคนอยู่ ก็แสดงว่าคงเป็นการมุ่งเพื่อให้เกิดเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดกวดขันมากยิ่งขึ้นอีก และถ้าตรวจสอบได้ชัดเจนก็ต้องเร่งดำเนินการ ตัวพาณิชย์พระนครคงไม่น่าจะเป็นพื้นที่เป้าหมาย แต่กรณีของทำเนียบรัฐบาล สำนักงานป.ป.ช.นั้น เป็นเรื่องที่เราทราบอยู่แล้ว"นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการพิจารณานำกฎหมายพิเศษมาใช้ แต่เราก็ได้เตรียมการทั้งหมดเอาไว้แล้ว
**เหิมวางซีโฟร์3ปอนด์ข้างศาลฎีกา
วันเดียวกันเมื่อเวลา 09.30 น. ร.ต.ท.จำรัส ดอกไม้เทศ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยภายในรั้วศาลฎีกาฝั่งตรงข้างคลองหลอด แขวงชนะสงคราม เขตพระนครกทม. จึง
ประสานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจพิสูจน์และเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) รุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุบริเวณใต้ต้นคูนริมรั้วศาลฎีกา เจ้าหน้าที่พบถุงพลาสติกสีชมพู ภายในมีกล่องน้ำผลไม้ยี่ห้อมาลี ขนาด 1 ลิตรวางอยู่ ตรวจสอบคาดว่าภายในอาจมีวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่จึงรีบกันประชาชนในละแวกใกล้เคียงออกจากบริเวณดังกล่าว พร้อมกั้นเชือกไว้เป็นพื้นที่หวงห้าม จากนั้นชุดปฏิบัติเก็บกู้วัตถุระเบิดได้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าทำการตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่วัตถุต้องสงสัยที่พบ จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น จำนวน 1 ครั้ง
เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้เข้าไปตรวจสอบวัตถุดังกล่าวอีกครั้งก็พบว่า ภายในกล่องน้ำผลไม้เป็นระเบิดโซีโฟร์ ขนาดประมาณ 3 ปอนด์ และมีสายไฟกับแผงวงจรสวิซต์อยู่ที่ตำแหน่ง on พร้อมทำงาน คาดว่าน่าจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือหรือรีโมทที่อยู่ใกล้กับศาลฏีกา จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้จึงได้เก็บและวัตถุดังกล่าวรวมทั้งสะเก็ดระเบิดไปตรวจสอบ
**โชคดีรปภ.ศาลเห็นก่อน
จากการสอบสวน นายประคอง มหาเนตร เจ้าหน้าที่ รปภ.ประจำศาลฎีกา กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนและเพื่อน รปภ.ได้เข้าเวรเดินตรวจตราโดยรอบบริเวณศาล ระหว่างที่เดินมาถึงรั้วฝั่งตรงข้ามคลองหลอด ก็สังเกตเห็นถุงพลาสติกสีชมพูวางอยู่ใต้ต้นคูณ จึงเดินเข้าไปดู ตนเห็นถุงพลาสติกดังกล่าวมัดปากถุงอย่างแน่นหนาจึงแกะออกดู เมื่อแกะออกก็พบกล่องน้ำผลไม้ขนาด 1 ลิตร แต่มีน้ำหนักผิดปกติเมื่อพลิกดูใต้กล่องก็พบว่ามีสายไฟโผล่ออกมา จึงรีบวางไว้ที่เดิมและแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
นายประคอง กล่าวอีกว่า ปกติแล้วริมรั้วภายนอกศาลฎีกาจะมีผู้คนเดินไปมาค่อนข้างพลุกพล่าน บางครั้งก็จะนั่งพักข้างรั้วและทิ้งขวดน้ำและถุงพลาสติกเอาไว้จำนวนมาก แต่ขณะที่ตนเข้าเวรก็ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะนำถุงพลาสติกที่ใส่ระเบิดมาวางไว้โดยการยื่นมาจากริมรั้วด้านข้างฝั่งคลองหลอด
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เปิดเผยว่า เบื้องต้นหลังจากเกิดเหตุตนได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว และได้ให้พนักงานสอบสวนเร่งสอบปากคำพยาน พร้อมทั้งให้ชุดเก็บกู้ทำการเก็บวัตถุดังกล่าวและสะเก็ดระเบิดไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดซีโพร์พร้อมที่จะทำงานแต่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้ทัน ส่วนกล้องวงจรปิดอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการติดตามตัวคนร้าย อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถสรุปสาเหตุการลอบวางระเบิดที่แน่ชัดได้
**ปัดโยงข่มขู่องค์คณะยึดทรัพย์
นายเชวง ชูศิริ เลขานุการศาลฎีกา กล่าวว่า เบื้องต้น ได้รายงานเหตุให้นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา และนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมทราบแล้ว ซึ่งประธานศาลฎีกา ได้มอบหมายและเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลฎีกาดูแลรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณมาตลอดเวลา โดยถือว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของศาลได้ผล เพราะ รปภ.ที่เดินตรวจตราบริเวณเป็นผู้ตรวจพบวัตถุระเบิดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ โดยหลังเกิดเหตุคงไม่ต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแล ส่วนในวันที่ 15 ก.พ. ที่ศาลฎีกาจะเป็นวันเปิดทำการ คงไม่มีความจำเป็นถึงกับต้องแจ้งให้ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการศาลระมัดระวังตัว เพราะศาลฎีกาก็มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีอยู่แล้ว และต้องรอดูว่าสำนักงานศาลยุติธรรม จะมีมาตรการใดมาสนับสนุนการรักษาความปลอดภัยของศาลฎีกาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินสาเหตุการวางระเบิดครั้งนี้ว่าเป็นการข่มขู่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดตัดสินในวันที่ 26 ก.พ.นี้ หรือไม่ นายเชวง กล่าวว่า ไม่ได้มีการและประเมินและยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุเกิดมาจากอะไร แต่จุดที่คนร้ายวางระเบิดอยู่ห่างจากไกลจากอาคารและผู้คนอีกทั้งเป็นวันหยุด ต้องรอรายละเอียดจากพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ซึ่งศาลฎีกาคงไม่แถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้น หากจะมีการชี้แจ้งเป็นอำนาจของสำนักงานศาลยุติธรรมที่จะดำเนินการ
**ศาลสั่งเข้มงวดระบบรปภ.
ด้านนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และจะมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยศาลฎีกา และองค์คณะผู้พิพากษากันอีกครั้ง
ส่วนนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กล่าวว่า ไม่ทราบเหตุที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และคงไม่สามารถตอบแทนองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ได้ว่ารู้สึกหวั่นไหวหรือไม่ เพราะไม่ใช่องค์คณะ
แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลฎีกาว่า ศาลได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ( รปภ.) จำนวนเฝ้ารักษาการณ์ทางเข้า - ออก ซึ่งช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ ก็มี รปภ.ประจำตามจุดเหมือนวัน – เวลาราชการ อย่างไรก็ดีหลังจากเกิดเหตุพบการวางระเบิดบริเวณรั้วศาลฎีกา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น หลังจากนี้คงจะมีการจัดระบบมาตรการความปลอดภัยที่เข้มขึ้น
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ ที่มีการประชุมร่วมกับฝ่ายตำรวจนครบาลจัดระบบรักษาความปลอดภัย ช่วงที่จะมีการพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวว่า แม้มีการประชุมแต่ยังไม่ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเสริมกำลัง รปภ. ที่ศาลจัดไว้เองในช่วงนี้จนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โดยการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยบริเวณศาลนั้นจะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีวันที่ 26 ก.พ. นี้
**ยันไม่ย้ายสถานที่ตัดสินคดียึดทรัพย์
เมื่อซักต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ผู้พิพากษาเกิดความหวาดกลัวและหวั่นไหวจนต้องมีการย้ายสถานที่อ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์หรือไม่ แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวว่า ถ้าจะพูดว่าไม่หวั่นไหวก็ดู
เหมือนผู้พิพากษาจะประมาท แต่ถ้าพูดว่าหวั่นไหวก็จะกลายเป็นว่าผู้พิพากษากลัว อย่างไรก็ดีอยากให้เข้าใจว่าศาลยุติธรรมเราดำรงอยู่มากว่า 100 ปี ทำหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ ด้วยความมั่นคง เที่ยงธรรมมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าจะพูดว่ากลัวต้องย้ายสถานที่คงไม่ใช่
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนจะมีความเชื่อมโยงไปถึง
เหตุการณ์การตัดสินคดี ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่นั้น ขณะนี้ต้องตรวจสอบดูรายละเอียดก่อน ทั้งนี้ ไม่ได้มีความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะได้มีการดูแลสถานที่ราชการ สำคัญ ๆ หลายจุด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมีการเล็ดลอดออกมาได้บ้าง ทั้งนี้ ศูนย์เฝ้าระวังเกาะติดสถานการณ์ของ กอ.รมน. ได้ติดตามเฝ้าระวังอยู่แล้ว ซึ่งตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.เป็นต้นมาได้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ทั้งนี้นายกฯ ยังไม่ได้มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
**ตร.สั่งเพิ่มกำลังดูแลสถานที่สำคัญ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้ง 2 จุดจะเชื่อมโยงและผู้ก่อเหตุจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ต้องรอผลการสอบสวน ซึ่งได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 สืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อคลี่คลายให้ได้โดยเร็ว หลังจากนี้ไปในช่วง 10 วัน ก่อนถึงวันที่ 26 ก.พ. จะต้องมีการเพิ่มกำลังตำรวจดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.ให้มากขึ้น พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วย บก.น.1-9 และ บก.ตปพ.เพิ่มการตั้งด่านจากที่มีอยู่เดิม 200 จุด โดยเน้นการตรวจค้นบุคคลต้องสงสัย วัตถุต้องสงสัย อาวุธ และวัตถุระเบิดให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งให้ตรวจตราดูแล
สถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล ศาลฎีกา รวมถึงบ้านพักบุคคลสำคัญ ให้เพิ่มกำลังหนาแน่นกว่าเดิม เนื่องจากผู้ที่จะก่อเหตุมักจะอาศัยช่องโหว่และช่วงที่สบโอกาส
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวมีการประเมินสถานการณ์และเน้นระวังในช่วงตรุษจีน ได้สั่งการให้พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.เน้นการตรวจอาวุธ และสิ่งผิดกฎหมาย ให้เพิ่มความระมัดระวังที่ตั้งของสถานที่ทางราชการ สถานที่ตั้งสาธารณูปโภค บ้านพักบุคคลสำคัญ เพื่อป้องกันการกระทำของบุคคลที่ไม่หวังดี ในกรณีนอกเขต กทม. ให้มีการประสานแผนปฏิบัติกับ ผวจ. และให้ทุกภาควางแผนและมาตรการรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งยังให้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับเหตุการณ์การลอบปาระเบิดเข้ามาในบริเวณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพณิชยการพระนครและพบระเบิดซีโฟร์ข้างศาลฎีกา ยังไม่ได้รับรายงานว่าเกิดจากเหตุอะไร เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์
วานนี้ (14 ก.พ.) เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 และวางระเบิดซีโฟร์ในสถานที่สำคัญของทางราชการขึ้น 2 แห่งซ้อนภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 13 ก.พ. เกิดเหตุระเบิดเสียงดังสนั่น ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชย์พระนคร แขวงดุสิต เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทำเนียบรัฐบาล ห่างกันเพียงประมาณ 50 เมตร มีเพียงคลองผดุงกรุงเกษมกั้นอยู่ เท่านั้น
**ยิงเอ็ม79ถล่มทำเนียบพลาด
จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณประตูที่ 3 ด้านข้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชย์พระนครฝั่งถนนพระราม 5 ริงคลองผดุงกรุงเกษม ภายหลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทธิ์วิชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้เดินทางเข้าตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลจำนวนหนึ่งและได้กันกลุ่มผู้สื่อข่าวไม่ให้เข้าถ่ายภาพบันทึกข่าวด้านในมหาวิทยาลัย โดยเข้าตรวจสอบความเสียหายนานประมาณครึ่งชั่วโมง
การตรวจสอบดังกล่าวพบว่า มีรอยถากบนต้นไม้ และแรงระเบิดทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่ภายในได้รับความเสียหาย 3 คัน ประกอบด้วย รถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ซอ 9810 กทม. รถยนต์เก๋งมิตซูบิชิ แลนเซอร์ หมายเลขทะเบียน ชศ 2050 กทม. และรถยนต์เก๋งโตโยต้า โคโรลล่า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน 8ง-6331 กทม. ได้รับความเสียหายบริเวณกระจกด้านข้างฝั่งผู้โดยสารร้าวต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ท.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วรวิทย์ จันทร์จำเริญ รอง ผบก.น.1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานตรวจสอบ เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ บริเวณซุ้มศาลา ชื่อ หัวลำโพง 2472 ภายในมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด กระจายเป็นมุมกว้าง ในเบื้องต้นทางเจ้ากน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ยืนยันว่าเป็นระเบิดขนาดหัวกระสุน M 79 แต่ทั้งนี้ต้องนำหลักฐานทั้งหมดส่งตรวจ โดยละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบบริเวณ จุดเกิดเหตุแล้ว ได้ทำการวัดวิธีกระสุน จากบริเวณ หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่ามีวีการยิงมากจากที่ใด
**นายกฯชี้เป้าหมายทำเนียบ-ป.ป.ช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากำลังตรวจสอบรายละเอียดของอาวุธที่ใช้ และสถานที่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นใกล้กับทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่กำลังดูวิถีของระเบิดอยู่
"เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณ 22.00 น. เศษ (13 ก.พ.) ซึ่งในเวลาดังกล่าวไม่มีคนอยู่ ก็แสดงว่าคงเป็นการมุ่งเพื่อให้เกิดเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดกวดขันมากยิ่งขึ้นอีก และถ้าตรวจสอบได้ชัดเจนก็ต้องเร่งดำเนินการ ตัวพาณิชย์พระนครคงไม่น่าจะเป็นพื้นที่เป้าหมาย แต่กรณีของทำเนียบรัฐบาล สำนักงานป.ป.ช.นั้น เป็นเรื่องที่เราทราบอยู่แล้ว"นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการพิจารณานำกฎหมายพิเศษมาใช้ แต่เราก็ได้เตรียมการทั้งหมดเอาไว้แล้ว
**เหิมวางซีโฟร์3ปอนด์ข้างศาลฎีกา
วันเดียวกันเมื่อเวลา 09.30 น. ร.ต.ท.จำรัส ดอกไม้เทศ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยภายในรั้วศาลฎีกาฝั่งตรงข้างคลองหลอด แขวงชนะสงคราม เขตพระนครกทม. จึง
ประสานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจพิสูจน์และเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) รุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุบริเวณใต้ต้นคูนริมรั้วศาลฎีกา เจ้าหน้าที่พบถุงพลาสติกสีชมพู ภายในมีกล่องน้ำผลไม้ยี่ห้อมาลี ขนาด 1 ลิตรวางอยู่ ตรวจสอบคาดว่าภายในอาจมีวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่จึงรีบกันประชาชนในละแวกใกล้เคียงออกจากบริเวณดังกล่าว พร้อมกั้นเชือกไว้เป็นพื้นที่หวงห้าม จากนั้นชุดปฏิบัติเก็บกู้วัตถุระเบิดได้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าทำการตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่วัตถุต้องสงสัยที่พบ จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น จำนวน 1 ครั้ง
เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้เข้าไปตรวจสอบวัตถุดังกล่าวอีกครั้งก็พบว่า ภายในกล่องน้ำผลไม้เป็นระเบิดโซีโฟร์ ขนาดประมาณ 3 ปอนด์ และมีสายไฟกับแผงวงจรสวิซต์อยู่ที่ตำแหน่ง on พร้อมทำงาน คาดว่าน่าจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือหรือรีโมทที่อยู่ใกล้กับศาลฏีกา จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้จึงได้เก็บและวัตถุดังกล่าวรวมทั้งสะเก็ดระเบิดไปตรวจสอบ
**โชคดีรปภ.ศาลเห็นก่อน
จากการสอบสวน นายประคอง มหาเนตร เจ้าหน้าที่ รปภ.ประจำศาลฎีกา กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนและเพื่อน รปภ.ได้เข้าเวรเดินตรวจตราโดยรอบบริเวณศาล ระหว่างที่เดินมาถึงรั้วฝั่งตรงข้ามคลองหลอด ก็สังเกตเห็นถุงพลาสติกสีชมพูวางอยู่ใต้ต้นคูณ จึงเดินเข้าไปดู ตนเห็นถุงพลาสติกดังกล่าวมัดปากถุงอย่างแน่นหนาจึงแกะออกดู เมื่อแกะออกก็พบกล่องน้ำผลไม้ขนาด 1 ลิตร แต่มีน้ำหนักผิดปกติเมื่อพลิกดูใต้กล่องก็พบว่ามีสายไฟโผล่ออกมา จึงรีบวางไว้ที่เดิมและแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
นายประคอง กล่าวอีกว่า ปกติแล้วริมรั้วภายนอกศาลฎีกาจะมีผู้คนเดินไปมาค่อนข้างพลุกพล่าน บางครั้งก็จะนั่งพักข้างรั้วและทิ้งขวดน้ำและถุงพลาสติกเอาไว้จำนวนมาก แต่ขณะที่ตนเข้าเวรก็ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะนำถุงพลาสติกที่ใส่ระเบิดมาวางไว้โดยการยื่นมาจากริมรั้วด้านข้างฝั่งคลองหลอด
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เปิดเผยว่า เบื้องต้นหลังจากเกิดเหตุตนได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว และได้ให้พนักงานสอบสวนเร่งสอบปากคำพยาน พร้อมทั้งให้ชุดเก็บกู้ทำการเก็บวัตถุดังกล่าวและสะเก็ดระเบิดไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดซีโพร์พร้อมที่จะทำงานแต่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้ทัน ส่วนกล้องวงจรปิดอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการติดตามตัวคนร้าย อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถสรุปสาเหตุการลอบวางระเบิดที่แน่ชัดได้
**ปัดโยงข่มขู่องค์คณะยึดทรัพย์
นายเชวง ชูศิริ เลขานุการศาลฎีกา กล่าวว่า เบื้องต้น ได้รายงานเหตุให้นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา และนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมทราบแล้ว ซึ่งประธานศาลฎีกา ได้มอบหมายและเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลฎีกาดูแลรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณมาตลอดเวลา โดยถือว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของศาลได้ผล เพราะ รปภ.ที่เดินตรวจตราบริเวณเป็นผู้ตรวจพบวัตถุระเบิดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ โดยหลังเกิดเหตุคงไม่ต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแล ส่วนในวันที่ 15 ก.พ. ที่ศาลฎีกาจะเป็นวันเปิดทำการ คงไม่มีความจำเป็นถึงกับต้องแจ้งให้ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการศาลระมัดระวังตัว เพราะศาลฎีกาก็มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีอยู่แล้ว และต้องรอดูว่าสำนักงานศาลยุติธรรม จะมีมาตรการใดมาสนับสนุนการรักษาความปลอดภัยของศาลฎีกาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินสาเหตุการวางระเบิดครั้งนี้ว่าเป็นการข่มขู่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดตัดสินในวันที่ 26 ก.พ.นี้ หรือไม่ นายเชวง กล่าวว่า ไม่ได้มีการและประเมินและยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุเกิดมาจากอะไร แต่จุดที่คนร้ายวางระเบิดอยู่ห่างจากไกลจากอาคารและผู้คนอีกทั้งเป็นวันหยุด ต้องรอรายละเอียดจากพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ซึ่งศาลฎีกาคงไม่แถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้น หากจะมีการชี้แจ้งเป็นอำนาจของสำนักงานศาลยุติธรรมที่จะดำเนินการ
**ศาลสั่งเข้มงวดระบบรปภ.
ด้านนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และจะมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยศาลฎีกา และองค์คณะผู้พิพากษากันอีกครั้ง
ส่วนนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กล่าวว่า ไม่ทราบเหตุที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และคงไม่สามารถตอบแทนองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ได้ว่ารู้สึกหวั่นไหวหรือไม่ เพราะไม่ใช่องค์คณะ
แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลฎีกาว่า ศาลได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ( รปภ.) จำนวนเฝ้ารักษาการณ์ทางเข้า - ออก ซึ่งช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ ก็มี รปภ.ประจำตามจุดเหมือนวัน – เวลาราชการ อย่างไรก็ดีหลังจากเกิดเหตุพบการวางระเบิดบริเวณรั้วศาลฎีกา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น หลังจากนี้คงจะมีการจัดระบบมาตรการความปลอดภัยที่เข้มขึ้น
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ ที่มีการประชุมร่วมกับฝ่ายตำรวจนครบาลจัดระบบรักษาความปลอดภัย ช่วงที่จะมีการพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวว่า แม้มีการประชุมแต่ยังไม่ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเสริมกำลัง รปภ. ที่ศาลจัดไว้เองในช่วงนี้จนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โดยการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยบริเวณศาลนั้นจะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีวันที่ 26 ก.พ. นี้
**ยันไม่ย้ายสถานที่ตัดสินคดียึดทรัพย์
เมื่อซักต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ผู้พิพากษาเกิดความหวาดกลัวและหวั่นไหวจนต้องมีการย้ายสถานที่อ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์หรือไม่ แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวว่า ถ้าจะพูดว่าไม่หวั่นไหวก็ดู
เหมือนผู้พิพากษาจะประมาท แต่ถ้าพูดว่าหวั่นไหวก็จะกลายเป็นว่าผู้พิพากษากลัว อย่างไรก็ดีอยากให้เข้าใจว่าศาลยุติธรรมเราดำรงอยู่มากว่า 100 ปี ทำหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ ด้วยความมั่นคง เที่ยงธรรมมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าจะพูดว่ากลัวต้องย้ายสถานที่คงไม่ใช่
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนจะมีความเชื่อมโยงไปถึง
เหตุการณ์การตัดสินคดี ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่นั้น ขณะนี้ต้องตรวจสอบดูรายละเอียดก่อน ทั้งนี้ ไม่ได้มีความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะได้มีการดูแลสถานที่ราชการ สำคัญ ๆ หลายจุด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมีการเล็ดลอดออกมาได้บ้าง ทั้งนี้ ศูนย์เฝ้าระวังเกาะติดสถานการณ์ของ กอ.รมน. ได้ติดตามเฝ้าระวังอยู่แล้ว ซึ่งตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.เป็นต้นมาได้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ทั้งนี้นายกฯ ยังไม่ได้มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
**ตร.สั่งเพิ่มกำลังดูแลสถานที่สำคัญ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้ง 2 จุดจะเชื่อมโยงและผู้ก่อเหตุจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ต้องรอผลการสอบสวน ซึ่งได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 สืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อคลี่คลายให้ได้โดยเร็ว หลังจากนี้ไปในช่วง 10 วัน ก่อนถึงวันที่ 26 ก.พ. จะต้องมีการเพิ่มกำลังตำรวจดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.ให้มากขึ้น พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วย บก.น.1-9 และ บก.ตปพ.เพิ่มการตั้งด่านจากที่มีอยู่เดิม 200 จุด โดยเน้นการตรวจค้นบุคคลต้องสงสัย วัตถุต้องสงสัย อาวุธ และวัตถุระเบิดให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งให้ตรวจตราดูแล
สถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล ศาลฎีกา รวมถึงบ้านพักบุคคลสำคัญ ให้เพิ่มกำลังหนาแน่นกว่าเดิม เนื่องจากผู้ที่จะก่อเหตุมักจะอาศัยช่องโหว่และช่วงที่สบโอกาส
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวมีการประเมินสถานการณ์และเน้นระวังในช่วงตรุษจีน ได้สั่งการให้พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.เน้นการตรวจอาวุธ และสิ่งผิดกฎหมาย ให้เพิ่มความระมัดระวังที่ตั้งของสถานที่ทางราชการ สถานที่ตั้งสาธารณูปโภค บ้านพักบุคคลสำคัญ เพื่อป้องกันการกระทำของบุคคลที่ไม่หวังดี ในกรณีนอกเขต กทม. ให้มีการประสานแผนปฏิบัติกับ ผวจ. และให้ทุกภาควางแผนและมาตรการรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งยังให้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับเหตุการณ์การลอบปาระเบิดเข้ามาในบริเวณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพณิชยการพระนครและพบระเบิดซีโฟร์ข้างศาลฎีกา ยังไม่ได้รับรายงานว่าเกิดจากเหตุอะไร เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์