xs
xsm
sm
md
lg

ไล่ล่าผู้พิพากษา…เป็นเรื่องของคนโง่ที่สิ้นคิด!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ยิ่งใกล้วันตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท เข้ามาเท่าใด ความสับสนวุ่นวายและความตึงเครียดในบ้านเมืองก็เพิ่มมากขึ้นทุกที จนขณะนี้สภาพต่างๆ ดูประหนึ่งว่ากำลังจะระเบิดขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองอยู่แล้ว

แม้ว่าคนสำคัญของรัฐบาลจะพูดกับสื่อมวลชนว่าจะไม่ยอมให้เกิดการนองเลือดก่อน โดยจะหาทางป้องกันแก้ไขตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นก็ประหนึ่งการผายลม ที่ผายแล้วก็มลายหายไปเหลือแต่กลิ่นเหม็นคลุ้ง และความไม่เชื่อถืออยู่ข้างหลัง

เพราะพูดเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหนในหลายเรื่องหลายกรณี แต่ความจริงที่คนไทยรู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็คือ “แม่ง…ไม่ทำห่าอะไรเลย เอาแต่โกง โกง โกง อย่างเดียว”

ข้อความในคำพูดนั้นไม่ได้พูดเอง หรือไม่ได้แกล้งเอามาพูด แต่เป็นเรื่องที่คนห่วงบ้านห่วงเมืองเขาพูดกันอย่างกว้างขวางแทบทุกหัวระแหง แต่กลับกลายเป็นว่าคนในรัฐบาลไม่มีใครฟังและไม่มีใครได้ยิน

ก็คงเป็นดังคำพังเพยโบราณที่ว่า คนเราพอมีอำนาจแล้วจะหูหนวกตาบอด และความจริงก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าลำพังเสียงชาวบ้านนั้นไม่มีวันถึงหูผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้เลย

จะถึงหูผู้มีอำนาจได้อย่างไรเล่า? ก็เพราะหูหนวกไปแล้วจริงๆ หูหนวกถึงขนาดที่ไม่ได้ยินเสียงตำหนิติติงจากคนระดับองคมนตรี ที่มีปกติไม่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง แต่ก็ทนไม่ไหวจนต้องออกมาติงมาเตือนเนื่องจากมีการปล่อยปละละเลยให้มีการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ๋งครึ่ม

ก็เมื่อหูหนวกถึงขนาดไม่ได้ยินเสียงคนระดับองคมนตรีแล้ว ไหนเลยจะได้ยินเสียงของประชาชนอย่างเราท่านได้เล่า?

เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงไม่ได้ยินเสียงที่วิทยุชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพฯ ได้ทำการรณรงค์ให้ผู้ที่เป็นสมัครพรรคพวกเดียวกันติดตามไล่ล่าฆ่าผู้พิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งหมด 9 คน

เป็น 9 คนที่หนังสือพิมพ์มติชนเคยนำรายชื่อมาเปิดเผยไว้ก่อนหน้านั้น แต่จะเป็นการเปิดเผยเพื่อเป็นข้อมูลหรือเป็นการเปิดเผยเพื่อเตะลูกให้มีการเอาไปปลุกระดมให้ฆ่าผู้พิพากษาเหล่านั้นก็เหลือวิสัยที่จะรู้ได้

เขาปลุกระดมกันตั้งแต่คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งเป็นวันที่ทำบทความเรื่องนี้ และยังจะปลุกระดมกันต่อไปหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เพียงเท่าที่ปลุกระดมกันมานั้นก็ได้ทำให้ผู้คนไม่สบายใจ พากันก่นด่าต่อว่าต่อขานผู้ที่ดูแลรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยของบ้านเมืองกันจ้าละหวั่น

ตามโรงศาลทั้งหลายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็ไม่เป็นอันพูดจากันในเรื่องอื่น พอมีเวลาหรือพบหน้าปะปังกันก็พากันไต่ถามตำหนิและติติงเรื่องนี้กันทั้งนั้น แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะว่าอย่างไร

นายกรัฐมนตรีก็ได้พูดในทางให้ขวัญกำลังใจแก่คณะผู้พิพากษาว่าจะดูแลให้มีความปลอดภัย ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้รัฐบาลสามารถคุ้มครองความปลอดภัยให้กับคณะผู้พิพากษาได้ อย่าให้เหมือนกับกรณีคนร้ายเอาขี้ไปขว้างบ้านของคนที่พูดนั้นเลย

ถามว่าการรณรงค์ให้ผู้คนไปไล่ล่าฆ่าผู้พิพากษาซึ่งทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ตามกฎหมายและมีความชอบธรรมหรือไม่? ก็ตอบได้ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งที่สุดและไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะทำได้เช่นนั้นเลย

ใครจะคิดอ่านวางแผนหรือเป็นต้นเหตุให้ทำเรื่องนี้ก็ตามทีเถิด ผลแท้จริงที่เกิดขึ้นนั้นคือความฉิบหายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวเท่านั้น

เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้ได้ยินเรื่องนี้ก็จะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างเดียวกันว่าการปลุกระดมให้ไล่ล่าฆ่าผู้พิพากษานั้นเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อจะข่มขู่กดดันผู้พิพากษาไม่ให้ตัดสินคดีโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมเพราะเกรงว่าจะเกิดผลร้ายกับทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้

เมื่อรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นแล้วก็จะเชื่อต่อไปว่า คงโกงบ้านโกงเมืองตามที่มีการกล่าวหา จึงเกิดความกลัวเช่นนั้น แล้วคิดอ่านไม่ให้มีการตัดสินคดีนี้ ดังนี้ความเสียหายก็ไม่พ้นไปจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้

มิหนำซ้ำ หาได้มีแค่เรื่องราวการปลุกระดมทางวิทยุชุมชนเท่านั้นไม่ ยังมีเสียงพูดจาในเชิงข่มขู่ของบางคนที่เพิ่งไปพบปะหรือรับมอบหมายหน้าที่บางประการมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทางที่สมคล้อยกับการปลุกระดมของวิทยุชุมชนนั้น

เช่น การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าศาลฎีกาจะตัดสินคดีนี้ไม่ได้เพราะผู้พิพากษาจะไม่ครบองค์คณะ

หรือการให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่ารู้ชื่อที่อยู่ของคณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่านแล้ว และแม้ว่าจะได้รับการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยจากรัฐ ก็รู้ที่อยู่แล้ว ทั้งยืนยันอีกว่าผู้พิพากษาจะไม่ครบองค์คณะที่ตัดสินคดีได้

ไม่ว่าจะใช้ลีลาและการพูดประการใด แต่เจตนาและผลของการได้ฟังเรื่องราวแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะมีการฆ่าหรืออุ้มฆ่าผู้พิพากษา จนทำให้ไม่ครบองค์คณะที่จะตัดสินคดีได้

มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโจ๋งครึ่มกลางเมือง เป็นการท้าทายอำนาจรัฐและกฎหมาย เป็นการกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย แต่โดยที่คนหูหนวกไม่สามารถได้ยินได้ จึงไม่มีการจัดการหรือขัดขวางหรือสร้างความเชื่อมั่นใดๆ ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนได้

เป็นเหตุให้ผู้พิพากษาต้องถูกกดดันอย่างหนัก และต้องหาทางดูแลรักษาตัวให้ปลอดภัยขั้นวิกฤตด้วย และหาใช่แต่ตัวเองคนเดียวเท่านั้น ยังต้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับลูกเมียและครอบครัวเพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือในการข่มขู่อีกด้วย

นับเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นแบบนี้ นับตั้งแต่ได้มีการสถาปนากรุง รัตนโกสินทร์เป็นราชธานีเป็นต้นมา

นี่แหละคือฝีไม้ลายมือ ผลงาน และผลจากการกระทำในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ กล่าวอย่างนี้อาจจะไม่ถูกใจบรรดาพวกแม่ยก แต่ขอให้รับรู้เถิดว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้นตำตา จะรักจะห่วงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลสักปานใด ก็ห่วงได้ห่วงไป

แต่ถ้าห่วงแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวรู้ผิดรู้ถูก รู้รับผิดชอบต่อบ้านเมืองแล้ว ในสักวันหนึ่งคนที่จะต้องตายอย่างอเนจอนาถอาจไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น มันอาจจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือผู้คนในครอบครัว หรือรัฐมนตรี ตลอดจนผู้คนในครอบครัวของรัฐมนตรีก็เป็นไปได้

จึงเป็นอันว่า ณ เวลานี้บรรดาผู้พิพากษาต้องขวัญกระเจิง และต้องหาที่พักพิงเพื่อรักษาตัวให้ปลอดภัย จนไม่เป็นอันต้องทำงานตามปกติ และในที่สุดคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ก็คงต้องประชุมปรึกษาและลงมติกันในที่ที่มีความปลอดภัยแก่ชีวิตของคณะผู้พิพากษาจนได้

คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทนั้น ณ เวลานี้ล่วงพ้นเวลายื่นคำแถลงการปิดคดีแล้ว มีขั้นตอนที่เหลืออยู่คือการประชุมปรึกษาคดี การลงมติ การเขียนคำพิพากษา และการอ่านคำพิพากษา

ก็ไม่แน่ว่า ณ วันเวลาที่บทความนี้ลงตีพิมพ์อาจมีการประชุมปรึกษาคดีเสร็จแล้ว หรือลงมติเสร็จแล้วก็ได้ หรืออาจอยู่ระหว่างการเขียนคำพิพากษาก็ได้เพราะมีกำหนดอ่านคำพิพากษาแน่นอนแล้วในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ศกนี้

ดังนั้นก็ต้องบอกบรรดาพวกหน้าโง่บางจำพวกว่าในวันตัดสินคดีนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้พิพากษาขึ้นนั่งอ่านคำพิพากษาครบทั้ง 9 คน

ขอแต่เพียงให้มีการประชุมปรึกษาคดีร่วมกันแล้ว ลงมติในการตัดสินคดีแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้ เพราะในชั้นการเขียนคำพิพากษาตามมตินั้นก็ดี หรือในการอ่านคำพิพากษาก็ดี หากผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งล้มหายตายจาก หรือไม่สามารถลงชื่อในคำพิพากษาได้ องค์คณะที่เหลืออยู่ก็สามารถทำบันทึกจดแจ้งเหตุที่ไม่สามารถลงชื่อได้

และในกรณีเช่นนี้ย่อมมีผลเป็นว่าได้มีการตัดสินคดีนั้นโดยชอบแล้ว ดังนั้นการข่มขู่คุกคามหรือการจะอุ้มฆ่าผู้พิพากษาหลังจากประชุมปรึกษาและลงมติตัดสินคดีแล้ว จึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า และเป็นเรื่องของคนโง่เท่านั้นที่ทำเรื่องไม่เข้าท่าแบบนี้.
กำลังโหลดความคิดเห็น