xs
xsm
sm
md
lg

“ขายตรง”เปิดเกมกวาดนักขาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธุรกิจขายตรงระอุเปิดศึกรับปีเสือ เดินเกมดูดนักขายเข้าชายคา เพิ่มอินเซ็นทีฟ แรงจูงใจ ค่าคอมมิสชั่นต่างๆ ชี้คนรุ่นใหม่พาเหรดเข้าสู่ระบบนักธุรกิจอิสระมากขึ้น

ดูเหมือนว่าธุรกิจขายตรงในปีเสือดุ 2553 นื้ จะทวีควาเข้มข้นไม่น้อย เพราะค่ายใหญ่แต่ละค่ายต่างก็งัดเกมและกลยุทธ์ที่จะมาต่อกร ห้ำหั่นกันอยย่างเต็มที่ และมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ซึ่งไม่แพ้กับปีที่แล้วที่ว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าใด แต่ธุรกิจขายตรงกลับมีความเฟื่องฟูไม่น้อย

ขณะที่มีการประเมินกันจากผู้บริหารค่ายใหญ่ๆทั้งหลายทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น นายปรีชา ประกอบกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ผู้บริหารคนเก่งของ สกายไลน์ ยูนิตี้ ต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า

คาดปีนี้ตลาดรวมขายตรงโต10%

ปี2533 นี้ ตลาดขายตรงจะแข่งขันรุนแรงอีกเช่นกันและเติบโตไม่ต่ำวว่า 10% โดยมีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 45,000 - 50,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีการเติบโต 7%เท่านั้นเอง

แพทย์หญิงนลินีเคยให้ข้อมูลไว้ว่า งบประมาณที่ค่ายใหญ่ขายตรงจะใช้ในการสร้างแบรนด์ปีนี้คาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วที่ใช้รวมกว่า 1,200 ล้านบาทเท่านั้นเอง เนื่องจากว่า แบรนด์เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นยอดขายสินค้า ส่วนแบ่งการตลาด ความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค ซึ่งยังคงเป็นแนวโน้มการแข่งขันในปีนี้ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมุ่งเน้นไปที่ การสร้างแบรนด์บริษัทและแบรนด์สินค้า การพัฒนาสินค้าใหม่ๆด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนด้านระบบและสำนักงานรวมทั้งศูนย์กระจายสินค้าด้วย

ที่สำคัญแบรนด์คือ ปัจจัยหลักในการที่จะดึงดูดผู้ที่สนใจจะเข้าสู่ธุรกิจขายตรง เพราะหากแบรนด์อิมเมจดีแล้วย่อมได้เปรียบและมีสิทธิ์ที่จะโน้มน้าวใจผู้สนใจได้ และประเด็นสำคัญก็คือ การแข่งขันแย่งตัวนักขายอิสระหรือสมาชิกที่จะเข้าสู่สังกัดของแต่ละค่ายให้มากขึ้น เพราะยิ่งหากมีนักธุรกิจอิสระมากเท่าใด ก็ย่อมส่งผลดีถึงยอดขายนั่นเอง เพราะนักธุรกิจอิสระถือเป็นตัวจักรสำคัญในการทำตลาด

ค่ายใหญ่เดินเกมดูดนักขาย

นายปรีชา บอสใหญ่ค่ายแอมเวย์ประเมินว่า ปีนี้ตลาดขายตรงจะเติบโตดี และยังคงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ยังมีโอกาสอีกมาก แม้ว่าจะยังมีบริษัทฯที่ไม่ดีไม่อยู่ในระบบกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว ธุรกิจขายตรงเริ่มมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไปแล้วทั้งจากผู้ซื้อสินค้าและผู้ที่จะสมัครเป็นนักธุรกิจอิสระ

“ปีที่แล้วแอมเวย์มีนักธุรกิจอิสระกว่า 300,000 คน คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 320,000 คน ส่วนยอดสมาชิกที่ซื้อสินค้านั้นก็มีมากกว่า 700,000 รหัส มากขึ้น 2 เท่าจากปีก่อนหน้านี้” นายปรีชากล่าว

ทั้งนี้แอมเวย์จะใช้งบตลาดกว่า 750 ล้าบาท ในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ทั้งหมด เพื่อสร้างการเข้าถึงแอมเวย์ให้มากขึ้น พร้อมกับการให้ความสำคัญกับฐานสมาชิกผู้ซื้อสินค้าให้เกิดการซื้อซ้ำและขายยฐานของนักขายยอิสระเพ่มิขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาแอมเวย์เองให้ความสำคัญและให้ความสนใจในการดูแลและบริการองค์กรนักธุรกิจแอมเวย์อย่างดียิ่ง

ขณะที่นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร้ส (ประเทศไทย) จำกัด ก็มองว่า ตลาดขายตรงปีนี้ไม่ใช่แข่งขันกันเพียงแต่สร้างแบรนด์และยอดขายเท่านั้น แต่ยังแข่งขันกันในแง่ของการสร้างตัวเลขยอดสมาชิกผู้ใช้สินค้าและยอดนักธุรกิจอิสระอีกด้วย โดยแต่ละค่ายคงต้องมีการปรับค่าอินเซนทีฟปรับค่าแรงจูงใจในการตอบแทนให้กับนักธุรกิจอิสระมากขึ้น

นูสกินเองก็มีการปรับเพิ่มค่าอินเซ็นทีฟให้ต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งได้เริ่มปรับมาตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยโครงการ “เวลธ์ แม็กซิไมเออร์” ซึ่งคาดว่าปีนี้คงจะเพิ่มให้อีกไม่น้อยกว่า 10% นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาโปรแกรมการขายต่างๆเพื่อให้นักธุรกิจอิสระสามารถทำการขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ปัจจุบันนูสกินมียอดตัวเลขสมาชิกที่ใช้สินค้าและนักธุรกิจอิสระรวมกันมากกว่า 230,000 รายเมื่อสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งมีตัวเลขที่เข้ามาใหม่เพิ่มขึ้นมากถึง 55% กล่าวได้ว่าสูงที่สุดในรอบการก่อตั้งของบริษัทฯก็ว่าได้ โดยปีนี้ก็ยังคาดหวังว่าตัวเลขสมาชิกใหม่และนักธุรกิจอิสระจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40% ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทฯปี 2553 นี้น่าจะเติบโตประมาณ 20% จากปีที่แล้วที่มียอดขายรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท หรือเติบโต 15%

สอดรับกับแพทย์หญิงนลินี ผู้บริหารคนเก่งของค่ายกิฟฟารีน ที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เหมือนกันว่า ธุรกิจขายตรงได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยสังเกตได้ว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี คนตกงานมาก ทำให้หันเข้ามาสมัครเป็นนักธุรกิจอิสระขายตรงมากขึ้น โดยยกตัวอย่างของค่ายกิฟารีนเองว่า ในช่วง 4 เดือนท้ายยของปีที่แล้ว 2552 ยอดเฉลี่ยสมัครเป็นนักธุกริจอิสระกับกิฟฟารีนมากถึง 5-6 หมื่นคนต่อเดือน เพิ่มจากเดิมที่อ่ยู่ในระดับ 2-3 หมื่นคนเท่านั้น

อีกค่ายใหญ่อย่าง เอวอน นางวัลลภา นฤนาทวานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอวอน คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) มองว่า คนรุ่นใหม่น่าจะเป็นฐานสำคัญที่น่าสนใจสมัครเข้าสู่ระบบขายตรงมากขึ้นในปีนี้ และเอวอนเองก็มีเป้าหมายตรงนั้นอยู่แล้วซึ่งที่ผ่านมาเริ่มมีคนรุ่นใหม่อายุเฉลี่ย 20-25 ปีเข้ามาสมัครมากขึ้น จากเดิมกลุ่มหลักอายุ 30-40 ปี เช่น การทำโรดโชว์เน้นที่ตลาดต่างจังหวัด ที่จะทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งมาเป็นนักขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการให้ส่วนลด 30% ต่อการซื้อสินค้า บวกกับการจ่ายค่าคอมมิสชั่นและโบนัสจาการสร้างสายงานเครือข่ายได้มาก

ด้านค่ายมิสทินก็ไม่น้อยหน้ากว่าใคร เมื่อนายดนัย ดีโรจน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสมาชิกเป็น 900,000 ราย จากปัจจุบันที่มีประมาณ 870,000 ราย โดยแบ่งเป็นสมาชิกที่เน้นการซื้อสินค้า 90% รวมทั้งตั้งงบการตลาดปีนี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท เพื่อผลักดันดันไปสู้มายอยดขายปีนี้ที่ 9,300 ล้นบาท เติบโต 7% เพิ่มจากปีที่แล้วที่ได้ 8,700ล้านบาทซึ่งเติบโตกว่าปี 2551 ประมาณ 15%

ค่ายแอมเวย์ประกาศชัดเจนว่าปีนี้จะเพิ่มงบตลาดเป็น 750 ล้านบาท ขณะที่ ค่ายเบตเตอร์เวย์เพิ่มงบตลาดจาก 550 ล้านบาทปีที่แล้วเป็น 600 ล้านบาทในปีนี้ หรือแม้แต่กิฟฟารีนเองก็มีแผนที่จะใช้มากกว่าปีที่แล้วที่ใช้ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่ายเดียวที่เห็นชัดเจนในเรื่องของการทำโฆษณาคอร์ปอเรตถึงขนาดที่ว่า แพทย์หญิงนลินีลงมาสวมบทครีเอทีฟหนังโฆษณาเองเลยด้วย

หรือแม้แต่นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ที่ปีนี้ขอรุกหนักอีกปีหนึ่ง โดยเฉพาะการขยายตลาดต่างจังหวัด ด้วยกลยุทธ 360 องศา ทั้งกิจกรรมโรดโชว์ ซึ่งปีนี้มีเป้าหมายที่จะขยายฐานตลาดของนักขายในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยที่เป้าหมายที่จะเพิ่มตัวเลขสมาชิกนักขาย 30,000 รายเป็น 60,000 รหัส และมีรายได้รวมปีนี้ที่ 300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 500 ล้านบาทในปีหน้า

ถือเป็นความเคลื่อนไหวของค่ายขายตรงรายใหญ่ที่เดินเกมรุกในการหาสมาชิกนักขายอิสระเข้าสังกัดกันยกใหญ่และน่าสนใจไม่น้อย

กำลังโหลดความคิดเห็น