ASTVผู้จัดการรายวัน – อสังหาฯ เตรียมเฮ ผู้แทนการค้าไทยเผยเตรียมขยายสัดส่วนต่างชาติซื้อคอนโดฯจากเดิม 49% เล็งขยายทั่วประเทศไม่จัดโซนนิ่ง คาดได้ข้อสรุปเร็วนี้ พร้อมชงครม.ต่อไป
พร้อมหนุนอสังหาฯโกอินเตอร์รุกสร้างบ้าน หลังความต้องการรออยู่
วานนี้3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย, สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอาคารชุดไทยจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2553 เรื่องเจาะลึกนโยบายและกลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาว่า ขณะนี้การค้าไทยอยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับหอการค้าต่างประเทศและกรมที่ดิน ในประเด็นสัดส่วนการซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาติจากเดิม 49% ของจำนวนห้องชุดเพื่อขาย เพื่อขยายฐานลูกค้าของโครงการอาคารชุดไปยังชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็นเท่าใด แต่ในเบื้องต้นจะขยายไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศโดยจะไม่เพิ่มสัดส่วนเป็นโซนนิ่งอย่างแน่นอน ซึ่งภายหลังจากการศึกษาข้อมูลและพิจารณาร่วมกันแล้ว จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการแก้กฎหมายต่อไป
ส่วนการขยายระยะเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มจากเดิม 30 ปีนั้นขณะนี้ยังไม่มีนโยบายแก้กฎหมายเพราะมีข้อยุ่งยาก นอกจากนี้ในทางปฏิบัติสามารถเซ็นสัญญาเช่ายาวเป็นร้อยปีได้ โดยสามารถไปจดทะเบียนต่ออายุสัญญาเช่าทุกๆ 30 ปี แต่ในความเป็นจริงผู้ซื้อมักกังวลว่า หากเจ้าของเปลี่ยนมือไป ผู้ที่มารับช่วงต่อจะไม่ยอมจดทะเบียนต่อสัญญาเช่าให้ ดังนั้นจึงเตรียมที่จะแก้ไขกฎระเบียบการจดทะเบียนสัญญาเช่าให้สามารถจดต่ออายุสัญญาเช่ารอบ 2 ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแก้กฎหมาย แต่อย่างไรก็ดีในอนาคตจะต้องหาแนวทางแก้ไขอย่างถาวรต่อไป
นายเกียรติ กล่าวต่อว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องอีกมาก มีการเก็บมูลค่าตลาดรวมซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละ 9 แสนล้านต่อปี หรือเกือบ 10 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) มีการจ้างงาน 3-4 ล้านคน แต่ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศชะลอตัว รัฐบาลแต่ละประเทศได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทยจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2553 ทำให้รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะโต 3.5-4.5% แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เชื่อว่าปัจจัยบวกหลายประการจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติแผนแม่บทรถไฟฟ้า 12 เส้นทาง มูลค่าลงทุน 8 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการอสังหาฯในกรุงเทพฯ จะได้รับอานิสงส์จากแผนแม่บทดังกล่าว โดยปัจจุบันพบว่ามีโครงการอสังหาฯ อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน 80,000 ยูนิต
ส่วนการต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯ ยังไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลจะต่อมาตรการดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีความพยายามที่จะช่วยผู้ประกอบการในตลาดจนกว่าอุตสาหกรรมจะมีความเข้มแข็งขึ้น หรืออยู่ในระดับที่ดูแลตัวเองได้ แต่ ณ วันนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรายกลางยังเหนื่อยกับการทำตลาดอยู่ ดังนั้นจึงเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต่ออายุมาตรการเพื่อให้ธุรกิจยืนได้ด้วยตนเอง
***หนุนอสังหาฯโกอินเตอร์
นายเกียรติ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยจากการที่พูดคุยกับหอการค้าสวีเดนต้องการสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 50,000 ยูนิต รวมถึงอุตสาหกรรมไทยอื่นๆ เข้าไปแข่งขันกันในตลาดต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังจะมีมาตรการ 2-3 ตัวมากระตุ้น นอกจากนี้ กำลังจัดระเบียบกฎเกณฑ์บริษัทในภูมิภาคซึ่งกำลังจะประกาศในเร็วๆนี้ จะกระตุ้นให้บริษัทในภูมิภาคย้ายฐานมายังประเทศไทย
“ภาคการก่อสร้างของเอเชียมีมูลค่าสูงถึง 70 ล้านล้านบาท ในขณะที่ภาคการก่อสร้างไทยไปลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าเพียง 70,000 ล้านบาทไม่ถึง 1% เพราะติดปัญหาแหล่งเงินกู้ และขีดความสามารถ แต่ยังมีโอกาสที่ไทยจะออกไปลงทุนในต่างประเทศได้จากการสนับสนุนของภาครัฐ” นายเกียรติ กล่าวและว่า
ช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่า จะช่วยผลักดันและได้ไปดึงธนาคารกรุงไทย, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี) , ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น มาช่วยปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการไปลงทุนยังต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการไปลงทุนของเอกชนในตางประเทศ อีกทั้งได้มีการกำหนดเป้าหมายกับ 3 สมาคมอสังหาฯและสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เช่น ในประเทศบาเรนห์ ต้องการให้ผู้ประกอบการไทยไปสร้างบ้านจำนวน 45,000 ยูนิต
ในราคาหลังละ 5 ล้านบาท และยังมีความต้องการให้ผู้รับเหมาไทยสร้างบูทิคโฮเท็ลให้อีก 2 โครงการ โดยเร็วๆนี้รัฐบาลเตรียมนำผู้ประกอบการที่สนใจเดินทางไปดูงานที่บาเรนห์
รวมถึงประเทศลิเบียยังมีความต้องการบ้านจำนวน 1 แสนยูนิต ซึ่งกลุ่มก่อสร้างได้งานแล้ว แต่ติดปัญหาหนังสือค้ำประกัน(แบงก์การันตี) สำหรับอินเดียไทยเราไปลงทุนอสังหาฯแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท อาทิ สร้างสนามบินขนาดใหญ่ ส่วนรัฐบาลไนจีเรียต้องการให้ที่ดินแก่ไทยไปพัฒนาบ้านสำหรับต่างชาติ และที่การ์ต้าได้ไปแล้ว และเวียดนามมีบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ลงทุนไปก่อนหน้านี้ โดยเวียดนามต้องการให้เข้าไปพัฒนาที่ดินขนาด 5,000-10,000 ไร่
*** “กิตติ”ห่วงเรื่องหลักประกันปล่อยกู้
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูลย์ ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยไทย กล่าวว่า การไปลงทุนในต่างประเทศควรมีการศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ก่อน รวมทั้งค่าเงิน ปัญหาการเมืองด้วย เช่นในเวียดนามที่ยังมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ หากมีปัญหาเรื่องการชำระค่าผ่อนบ้าน ธนาคารในประเทศเวียดนามยังไม่สามารถยอมรับการดำเนินการยึดบ้านของประชาชนได้ ขณะที่ประเทศรัสเซียต้องใช้เงินดาวน์บ้านถึง 50% ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเช่นกัน สำหรับ“สำหรับตลาดอสังหาฯในปีนี้ ถือว่า สดใสและดีที่สุดมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพราะมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาคอสังหาฯ มีการบริหารจัดการที่ดีมากจากการมีบทเรียนในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ภาคอสังหาฯ ได้เติบโตไปตามทำเลและระบบสาธารณูปโภคที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นได้ดี รวมถึงภาคการเงินของไทยมีความแข็งแกร่ง ทำให้ภาคอสังหาฯ เติบโตได้ และคาดว่า ปีนี้ทั้งสินเชื่อและยอดซื้ออสังหาฯ จะเติบโตได้15% จากปีก่อนที่ขยายตัว 10% ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาขยายเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพื่อช่วยขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ต่อไปได้”
ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การเมืองยังเป็นปัจจัยที่หลายฝ่ายกังวล แต่ก็มีปัจจัยบวกหลายด้านที่เป็นตัวส่งเสริมให้ภาคอสังหาฯ ในปีนี้ขยายตัวได้ รวมถึงมีการต่ออายุมาตรการค่าธรรมเนียมการโอน เพราะมีทั้งค่าจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ซื้อได้ 6%
***สภาพัฒน์ชี้ไทยเข้มแข็งหนุนศก.โต3-4%
ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า จะกลับมาขยายตัว 3-4% โดยมีปัจจัยสนับสนุนนอกจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มีการลงทุนภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นและสร้างโอกาสให้กับภาคเอกชน เช่น รถไฟฟ้า อสังหาฯ จะได้ประโยชน์ ในส่วนการลงทุนของไทยเข้มแข็ง ไตรมาส 4 ยังมีการลงทุนไม่มากแต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุน 2.8 ล้านบาทซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ได้.
พร้อมหนุนอสังหาฯโกอินเตอร์รุกสร้างบ้าน หลังความต้องการรออยู่
วานนี้3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย, สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอาคารชุดไทยจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2553 เรื่องเจาะลึกนโยบายและกลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาว่า ขณะนี้การค้าไทยอยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับหอการค้าต่างประเทศและกรมที่ดิน ในประเด็นสัดส่วนการซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาติจากเดิม 49% ของจำนวนห้องชุดเพื่อขาย เพื่อขยายฐานลูกค้าของโครงการอาคารชุดไปยังชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็นเท่าใด แต่ในเบื้องต้นจะขยายไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศโดยจะไม่เพิ่มสัดส่วนเป็นโซนนิ่งอย่างแน่นอน ซึ่งภายหลังจากการศึกษาข้อมูลและพิจารณาร่วมกันแล้ว จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการแก้กฎหมายต่อไป
ส่วนการขยายระยะเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มจากเดิม 30 ปีนั้นขณะนี้ยังไม่มีนโยบายแก้กฎหมายเพราะมีข้อยุ่งยาก นอกจากนี้ในทางปฏิบัติสามารถเซ็นสัญญาเช่ายาวเป็นร้อยปีได้ โดยสามารถไปจดทะเบียนต่ออายุสัญญาเช่าทุกๆ 30 ปี แต่ในความเป็นจริงผู้ซื้อมักกังวลว่า หากเจ้าของเปลี่ยนมือไป ผู้ที่มารับช่วงต่อจะไม่ยอมจดทะเบียนต่อสัญญาเช่าให้ ดังนั้นจึงเตรียมที่จะแก้ไขกฎระเบียบการจดทะเบียนสัญญาเช่าให้สามารถจดต่ออายุสัญญาเช่ารอบ 2 ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแก้กฎหมาย แต่อย่างไรก็ดีในอนาคตจะต้องหาแนวทางแก้ไขอย่างถาวรต่อไป
นายเกียรติ กล่าวต่อว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องอีกมาก มีการเก็บมูลค่าตลาดรวมซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละ 9 แสนล้านต่อปี หรือเกือบ 10 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) มีการจ้างงาน 3-4 ล้านคน แต่ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศชะลอตัว รัฐบาลแต่ละประเทศได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทยจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2553 ทำให้รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะโต 3.5-4.5% แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เชื่อว่าปัจจัยบวกหลายประการจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติแผนแม่บทรถไฟฟ้า 12 เส้นทาง มูลค่าลงทุน 8 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการอสังหาฯในกรุงเทพฯ จะได้รับอานิสงส์จากแผนแม่บทดังกล่าว โดยปัจจุบันพบว่ามีโครงการอสังหาฯ อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน 80,000 ยูนิต
ส่วนการต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯ ยังไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลจะต่อมาตรการดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีความพยายามที่จะช่วยผู้ประกอบการในตลาดจนกว่าอุตสาหกรรมจะมีความเข้มแข็งขึ้น หรืออยู่ในระดับที่ดูแลตัวเองได้ แต่ ณ วันนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรายกลางยังเหนื่อยกับการทำตลาดอยู่ ดังนั้นจึงเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต่ออายุมาตรการเพื่อให้ธุรกิจยืนได้ด้วยตนเอง
***หนุนอสังหาฯโกอินเตอร์
นายเกียรติ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยจากการที่พูดคุยกับหอการค้าสวีเดนต้องการสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 50,000 ยูนิต รวมถึงอุตสาหกรรมไทยอื่นๆ เข้าไปแข่งขันกันในตลาดต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังจะมีมาตรการ 2-3 ตัวมากระตุ้น นอกจากนี้ กำลังจัดระเบียบกฎเกณฑ์บริษัทในภูมิภาคซึ่งกำลังจะประกาศในเร็วๆนี้ จะกระตุ้นให้บริษัทในภูมิภาคย้ายฐานมายังประเทศไทย
“ภาคการก่อสร้างของเอเชียมีมูลค่าสูงถึง 70 ล้านล้านบาท ในขณะที่ภาคการก่อสร้างไทยไปลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าเพียง 70,000 ล้านบาทไม่ถึง 1% เพราะติดปัญหาแหล่งเงินกู้ และขีดความสามารถ แต่ยังมีโอกาสที่ไทยจะออกไปลงทุนในต่างประเทศได้จากการสนับสนุนของภาครัฐ” นายเกียรติ กล่าวและว่า
ช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่า จะช่วยผลักดันและได้ไปดึงธนาคารกรุงไทย, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี) , ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น มาช่วยปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการไปลงทุนยังต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการไปลงทุนของเอกชนในตางประเทศ อีกทั้งได้มีการกำหนดเป้าหมายกับ 3 สมาคมอสังหาฯและสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เช่น ในประเทศบาเรนห์ ต้องการให้ผู้ประกอบการไทยไปสร้างบ้านจำนวน 45,000 ยูนิต
ในราคาหลังละ 5 ล้านบาท และยังมีความต้องการให้ผู้รับเหมาไทยสร้างบูทิคโฮเท็ลให้อีก 2 โครงการ โดยเร็วๆนี้รัฐบาลเตรียมนำผู้ประกอบการที่สนใจเดินทางไปดูงานที่บาเรนห์
รวมถึงประเทศลิเบียยังมีความต้องการบ้านจำนวน 1 แสนยูนิต ซึ่งกลุ่มก่อสร้างได้งานแล้ว แต่ติดปัญหาหนังสือค้ำประกัน(แบงก์การันตี) สำหรับอินเดียไทยเราไปลงทุนอสังหาฯแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท อาทิ สร้างสนามบินขนาดใหญ่ ส่วนรัฐบาลไนจีเรียต้องการให้ที่ดินแก่ไทยไปพัฒนาบ้านสำหรับต่างชาติ และที่การ์ต้าได้ไปแล้ว และเวียดนามมีบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ลงทุนไปก่อนหน้านี้ โดยเวียดนามต้องการให้เข้าไปพัฒนาที่ดินขนาด 5,000-10,000 ไร่
*** “กิตติ”ห่วงเรื่องหลักประกันปล่อยกู้
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูลย์ ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยไทย กล่าวว่า การไปลงทุนในต่างประเทศควรมีการศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ก่อน รวมทั้งค่าเงิน ปัญหาการเมืองด้วย เช่นในเวียดนามที่ยังมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ หากมีปัญหาเรื่องการชำระค่าผ่อนบ้าน ธนาคารในประเทศเวียดนามยังไม่สามารถยอมรับการดำเนินการยึดบ้านของประชาชนได้ ขณะที่ประเทศรัสเซียต้องใช้เงินดาวน์บ้านถึง 50% ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเช่นกัน สำหรับ“สำหรับตลาดอสังหาฯในปีนี้ ถือว่า สดใสและดีที่สุดมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพราะมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาคอสังหาฯ มีการบริหารจัดการที่ดีมากจากการมีบทเรียนในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ภาคอสังหาฯ ได้เติบโตไปตามทำเลและระบบสาธารณูปโภคที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นได้ดี รวมถึงภาคการเงินของไทยมีความแข็งแกร่ง ทำให้ภาคอสังหาฯ เติบโตได้ และคาดว่า ปีนี้ทั้งสินเชื่อและยอดซื้ออสังหาฯ จะเติบโตได้15% จากปีก่อนที่ขยายตัว 10% ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาขยายเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพื่อช่วยขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ต่อไปได้”
ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การเมืองยังเป็นปัจจัยที่หลายฝ่ายกังวล แต่ก็มีปัจจัยบวกหลายด้านที่เป็นตัวส่งเสริมให้ภาคอสังหาฯ ในปีนี้ขยายตัวได้ รวมถึงมีการต่ออายุมาตรการค่าธรรมเนียมการโอน เพราะมีทั้งค่าจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ซื้อได้ 6%
***สภาพัฒน์ชี้ไทยเข้มแข็งหนุนศก.โต3-4%
ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า จะกลับมาขยายตัว 3-4% โดยมีปัจจัยสนับสนุนนอกจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มีการลงทุนภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นและสร้างโอกาสให้กับภาคเอกชน เช่น รถไฟฟ้า อสังหาฯ จะได้ประโยชน์ ในส่วนการลงทุนของไทยเข้มแข็ง ไตรมาส 4 ยังมีการลงทุนไม่มากแต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุน 2.8 ล้านบาทซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ได้.