xs
xsm
sm
md
lg

อย่าลืมประสบการณ์บันได 3 ขั้น!

เผยแพร่:   โดย: พล.อ.สายหยุด เกิดผล

ผมเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้กำลังเข้มข้น มีทั้งข่าวลือและข่าวจริง ว่ากำหนดวันดี-เดย์ แตกหักจะเกิดขึ้นในตอนปลายกุมภาพันธ์ และต้นมีนาคม หรืออาจยืดเยื้อไปจนถึงเมษายนก็ได้ โดยจะมีการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มคนมีสีเป็นระยะๆ ตั้งแต่ขณะนี้ไป เป็นการยิงเตรียม หรือเป็นการลาดตระเวนหยั่งกำลัง ตรวจคลำแนวตั้งรับของฝ่ายรัฐบาล พร้อมกับหาจุดอ่อนเพื่อวางแผนเข้าตีแตกหักในวันดี-เดย์ ผมหวังว่าทางฝ่ายรัฐบาลและประชาชนทั่วไปคงจะไม่ตื่นเต้นจนเกินไปกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เพราะมีการปฏิบัติการทางจิตวิทยาผสมด้วยการข่มขู่ โฆษณาชวนเชื่อประกอบ ฝ่ายใดคุมสติ พิจารณาด้วยปัญญา ก็จะสามารถเอาชนะกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้

แต่เพื่อความไม่ประมาท ผมก็อยากจะนำบทเรียนที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์ในยุคสงครามเย็น ในฐานะที่ผมได้รับมอบให้เป็นเจ้าหน้าที่หลัก ในการจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ทำการแก้ปัญหาการก่อการร้ายภายในประเทศ และการเข้าประชิดของกำลังฝ่ายตรงข้าม (ขณะนั้นคือคอมมิวนิสต์เวียดนาม) จำนวนไม่น้อยกว่า 20 กองพล ตลอดชายแดนด้านลาวและเขมรมาแล้ว โดยเรายึดบทเรียนที่เราจะไม่ทำผิดอย่างที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งสองได้กระทำมาแล้ว คือ ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามดำเนินการตามยุทธศาสตร์บันได 3 ขั้น สำเร็จ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่มีอำนาจอยู่ ใช้ปฏิบัติการไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะมีอุดมคติ หรือเป็นเพียงกลุ่มที่แสวงหาอำนาจเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตนเอง หรือเพื่อองค์กรมาเฟียใดๆ ก็ตาม 

แม้ว่ากลุ่มตรงข้ามในขั้นต้นจะมีกำลังเพียงส่วนน้อย ก็จะสามารถทำการบรรลุผลสำเร็จได้ โดยขั้นที่ 1 ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริง หรืออาจจะพูดมุสาใดๆ ก็ได้ โดยยึดถือหลักจิตวิทยาที่ว่า เมื่อพูดเท็จบ่อยๆ จนตัวเองก็อาจจะพลอยหลงเชื่อ และคนฟังอื่นๆ ที่ไม่มีสติควบคุม ก็จะไม่มีปัญญาแยกแยะสิ่งผิดและถูกออกจากกันได้ ใช้การข่มขู่ แทรกซึม บ่อนทำลาย เป็นอุปกรณ์ในการทำงานประกอบ เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย ทำให้ฝ่ายรัฐบาลไม่มีเวลาทำงานแก้ปัญหาของชาติ มัวแต่มาหลงยุ่งอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว ทำให้สถาบันหลักของชาติต้องสั่นคลอน ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อการไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เช่น มีการยิงที่นั่น ปาระเบิดที่นี่ ซึ่งเป็นลักษณะของการก่อการร้าย ซึ่งใครๆ จะทำก็ย่อมทำได้ไม่ยาก แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ อเมริกา

แต่ที่ต่างกันก็คือ เมื่อมีเหตุการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้น เขาสามารถจับคนร้ายมาพิสูจน์ในศาลและลงโทษได้ สำหรับไทยเรานั้น แม้แต่ทำร้ายประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน ตำรวจก็ไม่เคยสามารถจับตัวคนร้ายมาได้แม้แต่รายเดียว ก็ไม่ทราบว่า หน่วยข่าวของตำรวจ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีการประสานการปฏิบัติกันแค่ไหน เมื่อไม่สามารถจับผู้กระทำความผิดได้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้ราษฎรทั่วไปขาดความเชื่อมั่นของรัฐบาลได้

ต่อไปก็เป็นการดำเนินการตามขั้นที่ 2 คือ ยั่วยุทหารเพื่อให้ก่อการรัฐประหารขึ้น เมื่อเห็นว่าการดำเนินการในขั้นที่ 1 ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลดังกล่าวแล้ว โดยเสนอแนะให้รัฐบาลใช้ทหารออกมาให้การสนับสนุน ช่วยเหลือตำรวจ  ถ้าการประสานงานไม่ดีระหว่างตำรวจกับทหาร ก็อาจจะทำให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้น พร้อมกันนั้นฝ่ายตรงข้ามก็จะยั่วยุว่าทหารไม่มีน้ำยา ตำรวจไม่ให้เกียรติ ยั่วยุอยู่ทุกวัน ทุกคืน จนอาจทำให้ทหาร “นอตหลุด” โดยอ้างว่า ประชาชนเรียกร้อง สนับสนุน เข้ามาแก้ปัญหาด้วยการทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครอง โดยเป็นรัฐบาลทหารหรืออาจจะเลี่ยงไปเป็นรัฐบาลพลเรือน แต่ก็ต้องอยู่ในความควบคุมของทหาร เช่น รัฐบาล รสช. และรัฐบาลของคณะปฏิรูปที่เคยทำมาแล้ว แต่ประชาชนทั่วไปก็คงเรียกว่า รัฐบาลภายใต้การควบคุมของทหารอยู่ดี

เมื่อสถานการณ์ก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ปฏิบัติการขั้นที่ 3 โดยประชาชนที่เคยเป็นกลางก็จะเข้าร่วมมือกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร ว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ เรียกร้องหารัฐบาลประชาธิปไตย พลังประชาชนจำนวนมากย่อมจะสามารถล้มรัฐบาลลงได้โดยง่าย แล้วฝ่ายตรงข้ามก็จะเข้าสู่อำนาจ และเป็นรัฐบาลตามที่เขาต้องการ แต่จะต้องอยู่ในคราบประชาธิปไตยต่อไปก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยรวมศูนย์ หรือประชาชนประชาธิปไตย หรือในชื่อประชาธิปไตยแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ “เสรีประชาธิปไตย” ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแต่ก่อน

โปรดอย่าลืมว่า เหตุการณ์บันได 3 ขั้นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าท่านไม่ลืม เราน่าจะใช้มาเตือนสติเป็นบทเรียนได้สำหรับประชาชนที่รักประชาธิปไตยแบบ “เสรี” มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นเสาหลัก ร่วมกับอีก 2 เสาหลัก คือ ชาติ และศาสนา เพราะความรู้ที่ได้จากประสบการณ์จากการต่อสู้การก่อการร้ายภายในประเทศ ที่จะดำเนินการตามบันได 3 ขั้น เช่นเดียวกัน แต่ประชาชนรู้เท่าทันตามการนำของ กอ.รมน.ซึ่งผมได้พยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นตามบันได 3 ขั้นนี้ เพราะมีตัวอย่างในประเทศเพื่อนบ้าน เวียดนาม และเขมร มาแล้ว เห็นอยู่ตำตา ตามคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่ว่า ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์นั้นเป็นความรู้ที่ดีที่สุด

ผมขอทบทวนเหตุการณ์ในเวียดนาม เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า หลังจากที่ประเทศมหาอำนาจ อาณานิคมฝรั่งเศสให้เอกราชแก่เวียดนามแล้ว ก็ได้เลือกแบบการปกครองที่ดีที่สุด คือเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยเชิญพระเจ้าเบาได๋มาเป็นกษัตริย์ อยู่ใต้กฎหมายตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และก็มีรัฐบาลที่ดีมาปกครองบ้านเมือง ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถ ได้รับเชิญไปเยี่ยมอย่างเป็นทางการ ผมได้เคยถามผู้ที่ตามเสด็จฯ ก็ทราบว่า บ้านเมืองเป็นปกติสุข ดูเหมือนพระองค์จะเสด็จฯ ไปเยี่ยมเมืองตากอากาศบนภูเขา “ดาลัต” ด้วย แต่ฝ่ายตรงข้ามกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ได้ดำเนินการตามบันได 3 ขั้น 

ขั้นที่สำคัญก็คือ ขั้นที่ 2 โดยทหารทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลพลเรือน หาว่าเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอและก็ได้ทำเกินเลยไป โดยทำการปลงพระชนม์พระเจ้าเบาได๋เสียด้วย โดยไม่รู้ว่าใครสั่ง บ้านเมืองก็เลยวุ่นวายกันไปใหญ่ กลายเป็นสงครามกลางเมือง ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ทำสงครามกลางเมือง ต่อสู้กัน ทำลายทรัพย์สินและผู้คนล้มตามเป็นอันมาก โดยเหตุการณ์ลุกลามพาไปไม่มีใครสามารถควบคุมได้ จนขณะนี้ก็ได้กลับมาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเวียดนาม ก็ยังไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใดจึงจะเป็น “เสรีประชาธิปไตย” ได้

ในประเทศเขมรก็เช่นเดียวกัน รูปแบบการปกครอง หลังจากได้เอกราชจากฝรั่งเศสแล้ว ก็เป็นระบอบการปกครองประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยพระเจ้านโรดมสีหนุ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์เขมรที่ทรงพระปรีชาสามารถ เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ มีพลเอกลอนนอล เป็นผู้นำทางทหาร พระเจ้านโรดมสีหนุ ปกครองประเทศโดยใช้นโยบายเป็นกลาง แต่ในทางปฏิบัตินั้นพระองค์มีนโยบายเอียงซ้าย ให้การช่วยเหลือพวกเวียดกง ของเวียดนามอย่างลับๆ ด้วยการส่งอาวุธผ่านทางเขมร 

ต่อมาในขณะที่สมเด็จพระนโรดมสีหนุ เสด็จฯ เยี่ยมเยียนประเทศรัสเซีย และจีนอย่างเป็นทางการ ก็เกิดการรัฐประหารขึ้นที่พนมเปญ โดย พล.อ.ลอนนอล ทำการยึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลทหารขึ้นเผด็จการ นัยว่าเพื่อปราบปรามการที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายเป็นกลาง แต่ก็ต้องหันมาร่วมมือกับฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อรับการสนับสนุน โดยเฉพาะจากอเมริกา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า การรัฐประหารของ พล.อ.ลอนนอล นั้น คงได้รับการสนับสนุนจากพวกอเมริกัน “สายเหยี่ยว-Hawk” เพราะพวกนี้มีอิทธิพลเหนือพวกที่มีความคิดที่ถูกต้องที่เรียกว่า “สายนกพิราบ-Dove”

หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เข้าขั้นที่ 3 โดยฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้กำลังหนุนช่วยจากประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อทำการล้มล้างรัฐบาลทหารเผด็จการในที่สุดประเทศก็กลายเป็นการปกครองแบบ “ประชาชนประชาธิปไตย” ตามที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เรียก และมีการต่อสู้กันเองระหว่างฝ่ายประชาชนประชาธิปไตย นำโดย “พอลพอต” และอีกฝ่ายหนึ่งนำโดย เฮงสัมริน – ฮุนเซน โดยได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ทำให้ประเทศสูญเสียทั้งเวลา ชีวิตคนและทรัพย์สิน กว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใด จึงจะเป็นแบบ “เสรีประชาธิปไตย” ผมรู้ดีว่าการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลของเขมรเป็นอย่างไร เพราะผมได้นำอาสาสมัครที่เรียกว่า “แอลเฟรล-ANFREL – Asia Network For Election” ไปร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในเขมร

จากตัวอย่างที่กล่าวมาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ “สติ” และเชื่อว่า “ปัญญา” ย่อมจะเกิดขึ้นในดวงจิตของท่าน เพราะท่าน-ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังเป็นกลางอยู่นี่เอง ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาความรุนแรง ฝ่ายตรงข้ามคงจะพยายามเดินตามบันได 3 ขั้นนี้ให้ได้จะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญในการแพ้หรือชนะครับ! 

อย่าลืมว่าเราเคยทำสำเร็จมาแล้วในสมัยที่เราต่อสู้กับการก่อการร้ายของ พคท. สมัยที่อยู่ในป่า แต่คราวนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง ในท้องถนน ก็ไม่ทราบว่าใครแน่ที่เป็นหัวหน้า รู้แต่คนจ่ายเงินกับคนแสดง ยังไม่รู้แน่ว่าใครใช้ใคร ใครหลอกใครกันแน่ จะควบคุมกันได้แค่ไหน ผมคิดในแง่ดีว่าเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นตามที่กล่าวมาแล้ว เมื่อคนส่วนใหญ่ได้ “สติ” เช่นนี้แล้ว ย่อมจะช่วยกันแก้ไขเหตุการณ์นี้ได้แน่!

พระพุทธเจ้าได้ดำรัสไว้ว่า สุขํ สังฺฆสฺสฺ สามัคคี-ความสุข (สงบ เรียบร้อย ของบ้านเมือง) เกิดจากความสามัคคีครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น