ASTVผู้จัดการรายวัน – ไออาร์พีซีรุกตลาดเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในกลุ่มสไตรีนิค 5 ผลิตภัณฑ์ โดยเป็นผู้ผลิตGreen ABS ด้วยยางพาราธรรมชาติเป็นรายแรกของโลก เตรียมขยายกำลังการผลิตABSเพิ่มจาก 1.2 แสนตันเป็น1.8 แสนตันรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ มั่นใจปีนี้กำไรดี หลังทิศทางราคาเม็ดพลาสติกยังสูงอยู่
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด ฆ(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้มุ่งเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษรวมทั้งสารเติมแต่งโพลิเมอร์ที่มีมูลค่าเพิ่ม(value Added) กว่าการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดธรรมดา โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสไตรีนิค 5 ชนิด ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เม็ดพลาสติก Green ABS ซึ่งนำยางพารามาใช้เป็นวัตถุดิบแทนยางสังเคราะห์เป็นรายแรกของโลกและสารเติมแต่ง Anti-Dripping ซึ่งเป็นเป็นสารช่วยป้องกันการหยดตัวของโพลิเมอร์เมื่อติดไฟ นับว่าเป็นผู้ผลิตรายที่ 3 ของโลกรองจากดูปองค์และ 3 M
นอกจากนี้ บริษัทจะผลิตผลิตภัณฑ์ Anti – Bacteria ที่ใช้ผสมกับเม็ดพลาสติกเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตและกำจัดแบคทีเรียเพื่อให้ผลิตสินค้าที่เน้นความสำคัญด้านสุขภาพและความสะอาด (Health and Hygiene) การผลิต MBS (Methyl Methacrylate Butadiene Styrene) ซึ่งเป็นสารเติมแต่งชนิดผงที่ใช้เป็นวัตถุดิบ สำหรับพลาสติกที่ทนทานต่อแรงกระแทกทั้งชนิดโปร่งแสงและทึบแสงเป็นรายแรกของประเทศ และ ABS Powder ที่ช่วยเพิ่มคุณสมบัติด้านความทนทานต่อแรงกระแทก และทนต่อความร้อนของพลาสติกชนิดต่างๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต รวมทั้งกำลังเตรียมดำเนินการต่อยอดผลการคิดค้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความพร้อม โดยคาดว่าในส่วนที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปีนี้ คือ การผลิต Anti-Dripping จำนวน 1,200 ตัน ABS Powder จำนวน 6,200 ตัน Anti – bacteria ก็จะเริ่มใช้ผสมกับเม็ดพลาสติกของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2
ของปีนี้เช่นเดียวกัน ส่วนGreen ABS ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2556 คาดว่าจะต้องใช้น้ำยางธรรมชาติมากกว่า 4,500 ตัน/ปี สามารถทดแทนการนำเข้ายางสังเคราะห์หรือ Butadiene คิดเป็นมูลค่ากว่า 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯเช่นเดียวกับโครงการผลิต MBS ก็จะเริ่มในปีเดียวกันด้วยกำลังการผลิต 3,600 ตันต่อปี
“ ผลิตภัณฑ์ใหม่สายสไตรีนิคนี้จะช่วยให้อัตรากำไรของบริษัทฯดีขึ้น เนื่องจากมาร์จินของผลิตภัณฑ์เหล่านี้สูงกว่าพลาติกทั่วไป และราคามาร์จินไม่หวือหวาด้วย ดังนั้นน่าจะเป็นตัวหลักที่ทำรายได้ในปีนี้ มีผลทำให้ปีนี้กำไรของไออาร์พีซีดีขึ้นจากปีก่อน”
นายไพรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันไออาร์พีซีผลิตพลาสติก ABS ประมาณ 1.2 แสนตัน/ปี และมีแผนจะขยายกำลังการผลิตABSเพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นตันเพื่อรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษกลุ่มสไตรีนิค คาดว่าโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จใน 2555
สำหรับทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีนี้ยังดีอยู่ เนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้สูงกว่าปีก่อน ล่าสุดราคาพลาสติกABS อยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ/ตัน และเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนอยู่ที่ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยจีนยังเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางราคาพลาสติก นอกจากนี้ปัญหาคดีมาบตาพุดหากโครงการโอเลฟินส์แห่งใหม่ที่มาบตาพุด 2 ล้านตันไม่สามารารถเดิน
จะทำให้ตลาดเกิดการตึงตัว ราคาปิโตรเคมีก็น่าจะยังสูงอยู่ แต่ถ้าโครงการใหม่เปิดดำเนินการผลิตได้ก็จะทำให้ราคาพลาสติกปรับตัวลงมาบ้าง โดยเชื่อว่าปัญหามาบตาพุดจะมีทางออกที่ดีต่อทุกฝ่าย
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด ฆ(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้มุ่งเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษรวมทั้งสารเติมแต่งโพลิเมอร์ที่มีมูลค่าเพิ่ม(value Added) กว่าการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดธรรมดา โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสไตรีนิค 5 ชนิด ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เม็ดพลาสติก Green ABS ซึ่งนำยางพารามาใช้เป็นวัตถุดิบแทนยางสังเคราะห์เป็นรายแรกของโลกและสารเติมแต่ง Anti-Dripping ซึ่งเป็นเป็นสารช่วยป้องกันการหยดตัวของโพลิเมอร์เมื่อติดไฟ นับว่าเป็นผู้ผลิตรายที่ 3 ของโลกรองจากดูปองค์และ 3 M
นอกจากนี้ บริษัทจะผลิตผลิตภัณฑ์ Anti – Bacteria ที่ใช้ผสมกับเม็ดพลาสติกเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตและกำจัดแบคทีเรียเพื่อให้ผลิตสินค้าที่เน้นความสำคัญด้านสุขภาพและความสะอาด (Health and Hygiene) การผลิต MBS (Methyl Methacrylate Butadiene Styrene) ซึ่งเป็นสารเติมแต่งชนิดผงที่ใช้เป็นวัตถุดิบ สำหรับพลาสติกที่ทนทานต่อแรงกระแทกทั้งชนิดโปร่งแสงและทึบแสงเป็นรายแรกของประเทศ และ ABS Powder ที่ช่วยเพิ่มคุณสมบัติด้านความทนทานต่อแรงกระแทก และทนต่อความร้อนของพลาสติกชนิดต่างๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต รวมทั้งกำลังเตรียมดำเนินการต่อยอดผลการคิดค้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความพร้อม โดยคาดว่าในส่วนที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปีนี้ คือ การผลิต Anti-Dripping จำนวน 1,200 ตัน ABS Powder จำนวน 6,200 ตัน Anti – bacteria ก็จะเริ่มใช้ผสมกับเม็ดพลาสติกของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2
ของปีนี้เช่นเดียวกัน ส่วนGreen ABS ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2556 คาดว่าจะต้องใช้น้ำยางธรรมชาติมากกว่า 4,500 ตัน/ปี สามารถทดแทนการนำเข้ายางสังเคราะห์หรือ Butadiene คิดเป็นมูลค่ากว่า 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯเช่นเดียวกับโครงการผลิต MBS ก็จะเริ่มในปีเดียวกันด้วยกำลังการผลิต 3,600 ตันต่อปี
“ ผลิตภัณฑ์ใหม่สายสไตรีนิคนี้จะช่วยให้อัตรากำไรของบริษัทฯดีขึ้น เนื่องจากมาร์จินของผลิตภัณฑ์เหล่านี้สูงกว่าพลาติกทั่วไป และราคามาร์จินไม่หวือหวาด้วย ดังนั้นน่าจะเป็นตัวหลักที่ทำรายได้ในปีนี้ มีผลทำให้ปีนี้กำไรของไออาร์พีซีดีขึ้นจากปีก่อน”
นายไพรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันไออาร์พีซีผลิตพลาสติก ABS ประมาณ 1.2 แสนตัน/ปี และมีแผนจะขยายกำลังการผลิตABSเพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นตันเพื่อรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษกลุ่มสไตรีนิค คาดว่าโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จใน 2555
สำหรับทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีนี้ยังดีอยู่ เนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้สูงกว่าปีก่อน ล่าสุดราคาพลาสติกABS อยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ/ตัน และเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนอยู่ที่ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยจีนยังเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางราคาพลาสติก นอกจากนี้ปัญหาคดีมาบตาพุดหากโครงการโอเลฟินส์แห่งใหม่ที่มาบตาพุด 2 ล้านตันไม่สามารารถเดิน
จะทำให้ตลาดเกิดการตึงตัว ราคาปิโตรเคมีก็น่าจะยังสูงอยู่ แต่ถ้าโครงการใหม่เปิดดำเนินการผลิตได้ก็จะทำให้ราคาพลาสติกปรับตัวลงมาบ้าง โดยเชื่อว่าปัญหามาบตาพุดจะมีทางออกที่ดีต่อทุกฝ่าย
