เกิดมาโชคดีเป็นคนสวย แสนดี มีเมตตามหานิยมเหลือเฟือขนาดนี้แล้ว จะให้นั่งนิ่งดูดายปล่อยให้ “หวานใจ จุ๊บ จุ๊บ” สำรากใส่ “เจ้นิดหน่อย” แต่เพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร งานนี้ขอแส่-ออกโรง-เสนอหน้า-ยื่นจมูกเข้าไปยุ่ง...ทำไงได้!!! ลูกผู้หญิงต้องเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน คล้ายๆ “เลดี้กาก้า” เมตตา “คุณหญิงมิดไนท์” อะไรทำนองนี้
เรื่องของเรื่องมาจากข่าว “บิ๊กบางบอน” สำรอกใส่ “บิ๊กหน่อย XXL” แบบเปิดหน้าชกด้วยหมัดมวยรุ่นเก๋าที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขึ้นเวทีผ้าใบก็พุ่งเข้าตีเข่าเขย่าหน่อย แบบคลุกวงในเฉียดใต้สะดือ กรรมการห้ามมวยเห็นกันจะจะ แต่เมินหน้าแกล้งมองไม่เห็น นัยว่าเกรงจะถูกลูกหลงเหมือน “นายดาบคนนั้น” ที่บัดนี้ครอบครัวของเขายังยิ้มไม่ออก หลังจากไอ้ปื้ดยิงหัวหน้าครอบครัวเขาตายในผับดังย่านรัชดาฯ เมื่อหลายปีก่อน
เหลือบไปเห็น Forward mail จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ส่งมาให้ เป็นเมล์ที่เกิดขึ้นทันควันหลังบิ๊กบางบอนด่ากราดศัตรูการเมืองไปทั่วพรรค โดยเฉพาะเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุ้นจ้านไม่เข้าท่าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” จนเป็นที่รู้กันทั่ว แต่นักเลงใหญ่บางบอนผู้ไม่เคยกลัวใครนอกจากลูกชาย 3 คน ถึงกับจิกหัวเรียกว่า “อีหน่อย”
งานนี้เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้เลยว่า เมลนี้ถูกเตรียมไว้นานแล้ว รอแต่โอกาสเหมาะๆ มาถึงเมื่อไรเท่านั้นเอง…และโอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว เมื่อ “เฉลิม” ท้ารบด้วยการออกอาวุธลับสับ “คุณหญิงมิดไนท์” อย่างไม่ยั้งไมตรี
ลำดับถัดจากนี้ไปขอพี่น้องจงศึกษาการเรียบเรียงเรื่อง “12 วีรกรรม 3 พี่น้องอยู่บำรุง” จาก Forward mail นี้ให้ดีเถิด เพราะเมลนี้คนทำเขาแม่นยำเรื่องข้อมูล และเก่งในการเรียงลำดับเรื่อง โดยเกริ่นนำด้วยถ้อยคำจุดชนวนเร้าใจน่าติดตามว่า
“ข่าวลือจบไป...จากนี้อยากจะพลิกตำนานเรื่องจริง 12 วีรกรรม 3 พี่น้องตระกูลอยู่บำรุง ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ ในยุคนั้น...โดยเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม ทั้ง 3 คน เข้าไปพัวพันในช่วงเวลา นับจากปี 2540 – 2544 ทำสถิติ 4 ปี 12 คดี ซึ่งขณะนั้นร.ต.อ.เฉลิม เป็นรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่”
เมื่ออ่านจนจบก็พบว่า เมลชุดนี้ก็ใช้วิธีการสรุปวีรกรรมสั้นๆ เหมือนการสรุปข่าว แล้วลำดับเหตุการณ์ความชั่วช้าเลวทรามของลูกชาย 3 คนจากตระกูลอยู่บำรุง ...สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา ไม่ลีลาเยิ่นเย้อ โดยเริ่มตั้งแต่
1 ) วันที่ 12 เมษายน 2540 เวลา 02.00 เศษ กับกรณี “ร.ต.ต.วันเฉลิม” ตามพ่อไปตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทยที่ภูเก็ต แล้วไปมีเรื่องชกต่อยกับนักเที่ยวในผับเอลี่ยน ผลปรากฏว่า มีคนถูกยิง 2 คน บาดเจ็บจำนวนมาก วันเฉลิมอดีตตำรวจติดตามพ่อเหลิม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ตกเป็นหนึ่งในจำเลย
2) วันที่ 27 มี.ค. 41 เวลา 01.45 น. (อีก 16 วันครบ 1 ปี)...(ผู้เขียน...คนทำเมลให้ข้อมูลละเอียดขนาดนับเวลาให้เสร็จสรรพ) ...ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพวกถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายวินัย หรือ ปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า นายวันเฉลิมร่วมลงมือ ดังนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2541 อัยการเลยสั่งไม่ฟ้อง
3) วันที่ 1 สิงหาคม 41 เวลา 23.00 น. ถัดมา 4 เดือน 4 วัน ร.ต.ต.วันเฉลิมเจ้าเก่า ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดีกรมการปกครอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานเลี้ยงของนายอัครเดช ที่ฉลองการจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ “ทอรัส ผับ”
4) วันที่ 1 ต.ค. 41 เวลา 01.30 น. ถัดมา 2 เดือน เป็นคิวของพี่ชายคนโต เมื่อร.ต.ต.อาจหาญ ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายน.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (เอแบค) อดีตแฟนสาวที่นาซีซีส ผับ (ผู้เขียน....ประเด็นนี้ขอเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวกล่าวว่า พี่เขาจับหัวผู้หญิงโขกกับเสาโรมันที่หน้าผับคะ)
5) ย่างเข้าสู่ปี 2542 ร.ต.ต.อาจหาญ และร.ต.ต.วันเฉลิม ตกเป็นผู้ต้องหาอีก โดย 2 พี่น้องเจอข้อหาใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด. 43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ พอถึงวันที่ 2 มี.ค. 2542 ทั้งสองประกาศลาออกจากราชการ หลังจากนั้นเพียง 2 วัน คือ 4 มี.ค. 2542 สนช.ไม่อนุมัติใบลาออก แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญและร.ต.ต.วันเฉลิม ออกจากราชการแทน และดำเนินคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม
6) วันที่ 29 พ.ค. 2542 “วันเฉลิม” ตกเป็นผู้ต้องหาอีก คราวนี้ถูกกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกาย น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นโรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ ส.ภ.อ. บางละมุง
7) วันที่ 11 ก.ค. 2542 เวลา 01. 30 น. ถัดมา 1 เดือน 13 วัน กลุ่มของลูกชายนายเฉลิมก่อเหตุอีก คราวนี้ไปทะเลาะก่อเรื่องวิวาทในผับ “เรด บาร์” ย่านอาร์ ซี เอ เขตห้วยขวาง คราวนี้ฉาวโฉ่สองเท่า เมื่อนักข่าว และช่างภาพไทยรัฐไปทำข่าว แต่วันเฉลิมกับพวกไม่พอใจ พากันยื้อแย่งจะเอากล้องถ่ายรูปของช่างภาพไป พวกเขาได้แสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถนักข่าวด้วย เลยถูกกองบรรณาธิการข่าวไทยรัฐแจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมดังกล่าว แต่ในที่สุดพ่อเฉลิมที่ออกโรงไปอาละวาดตำรวจถึงโรงพัก ก็ต้องหันหัวเรือกลับพาลูกชายไปขอขมานักข่าวและช่างภาพไทยรัฐถึงโรงพิมพ์ และขอร้องไม่ให้เอาความ
8) วันที่ 26 ก.ค. 2542 เพียง 15 วันหลังเกิดเหตุที่เรด บาร์ ก็ถึงคิวน้องนุชคนสุดท้องนาม ดวงเฉลิม ที่ยังเตาะแตะเรียนหนังสืออยู่ เขาพาพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเที่ยวหน้า “สปาร์คผับ” ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด โชคดีของน้องดวงที่ไม่มีใครกล้ายื่นหน้ามาเป็นพยาน หรือกล่าวยืนยัน หรือแม้แต่จะกล้าให้ปากคำซัดทอดถึง ทำให้นายดวงเฉลิมดวงดีรอดตัวไป
9) วันที่ 26 ก.ย. 2542 เวลา 03.15 น. อีกเพียง 2 เดือนถัดมาเท่านั้น นายดวงเฉลิมก็ไปก่อเรื่องอีก คราวนี้เขาควบรถเก๋งกับเพื่อนอีก 4-5 คน ไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านน.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อายุ 21 ปี เพื่อนสาวที่อาศัยในซอยศูนย์วิจัย 4 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง ทั้งนี้เพื่อขอพบน.ส.ภัทรวลัย ซึ่งเคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่บ้าน นายดวงเฉลิมเข้าใจว่าผู้หญิงหลบหน้า เลยอาละวาดกวาดกระถางต้นไม้ริมรั้วตกแตกเสียหาย แม่ของฝ่ายหญิงต้องโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพราะกลัวนายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้น ร้อนถึงผู้เป็นพ่ออีกตามเคย ต้องออกโรงโทร.เคลียร์กับแม่ของหญิงสาวเพื่อไม่ให้เอาเรื่องกับลูกชายอารมณ์ร้อน
10) ย่างสู่ปี 2543 วันที่ 26 ม.ค. 43 คืออีก 4 เดือนถัดมา ลูกวันเฉลิมกับพวกก็ไปก่อเหตุอีก คราวนี้ไปรุมทำร้ายนายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนซ์ เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ เหตุเกิดที่ “บริท 99 คลับ” ในสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ จนนายเสริมชัยบาดเจ็บสาหัส หลังจากเขม่นกันเรื่อง “ผู้หญิง” แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อเฉลิมออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า ได้สั่งห้ามลูกชายเที่ยวกลางคืน หรือไปมีเรื่องกับใครอีกเป็นการเด็ดขาด เพราะลูกชาย 2 คนเตรียมลงเลือกตั้ง เขาบอกกับสังคมไทยอย่างนั้นด้วยเหตุผลว่า ถ้าออกไปเอะอะอันธพาลเกรงว่าประชาชนจะไม่ยอมรับ!!!
ในเมลนี้ให้ข้อมูลละเอียดว่า ท้ายที่สุดแล้วคดีที่เกิดขึ้นนี้ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2544 เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทย์อ่อน และยังอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นมาเรื่องราวอันธพาลป่วนบ้านป่วนเมืองของลูกชายนายเฉลิม อยู่บำรุงก็ซาลงไป เนื่องจาก “อาจหาญและวันเฉลิม” ต้องเร่งสร้างภาพใหม่ด้วยการลงพื้นที่หาเสียงในเขตฝั่งธนฯ
อย่างไรก็ตามผู้ทำเมลยังให้ข้อมูล “ซุบซิบ” เพิ่มเติมว่า ที่ไม่ได้ยินไม่ได้แปลว่า สงบ ไม่ได้เห็นแปลว่า จบ แต่กลับพบว่า ลูกชายบางคนของสิงห์เหลิมจำเป็นต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็นถึง “ออสเตรเลีย” เพราะโดน “ฟ้าผ่า” หาใช่เรื่องอื่นใดไม่ แม้ผู้เป็นพ่อจะปฏิเสธว่าลูกชาย 2 คนเก็บตัวรอลงเลือกตั้งและคนเล็กเรียนปริญญาโทอย่างหนักก็ไม่สามารถกลบร่องรอยข่าวลือที่ลุกลามดั่งไฟลามทุ่งได้
11) จวบจนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2543 ผ่านมา 8 เดือนกับ 17 วัน นายดวงเฉลิมก็ออกจากถ้ำ เขาโตแล้วและเดินตามรอยเท้าพี่ชาย 2 คนอย่างไม่น่าเชื่อ วันนั้นเขาทะเลาะกับนศ.เอแบค ที่คาเฟ่ เรคคอร์ด ซึ่งคราวนี้ดูอื้อฉาวกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นพ่อกระโดดเข้าร่วมวงถล่มตำรวจด้วยการยืนด่ากราดตำรวจทั้ง สน.ทองหล่อ และนักข่าว นสพ.เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนเมา เป็นการร่วมวงพ่อ-ลูกด้วยอาการเบรกแตก ดังนั้นพ่อเฉลิมจึงตกเป็นจำเลยพร้อมลูกๆ ฐานหมิ่นประมาทตำรวจ แถมเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราดหยาบคายเกินเหตุ เลี้ยงลูกไม่ได้ดีเป็นอันธพาล สังคมไทยเฆี่ยนตีเฉลิมและลูกชายอย่างไม่ปรานีไปทุกหย่อมหญ้า
ช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2544 ไม่มีข่าวฉาวของลูกชายสุดที่รักของเฉลิมอีกเลย เหตุเพราะ 2 คนแรกลงเลือกตั้งแม้สอบตกแต่ “วันเฉลิม” ได้เป็นที่ปรึกษาฯ นายบุญจง วีสมหมาย รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ส่วนดวงเฉลิมไปบวชเมื่อ 6 เม.ย. 44 โดยมี “ลุงจิ๋ว – พล.อ. ชวลิต” รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมยุคนั้นสะพายบาตรนำส่งเข้าโบสถ์ด้วยตนเอง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิตก็ลงนามให้นายดวงเฉลิมเข้าเป็นนายทหารสังกัดสำนักงานเลขานุการ รมว.กลาโหม อยู่กับพล.ต.ศรชัย มนตริวัต เลขานุการ รมว.กลาโหม และในวันที่ 8 มิ.ย. ได้รับการประดับยศเป็น “ร้อยตรี” จากมือของ “ลุงจิ๋ว” วันนั้นร.ต.ดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์น่ารักว่า “เดี๋ยวนี้กลางคืนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ประมาณสี่ทุ่มก็เข้านอนแล้ว เพราะต้องทำงานเช้า”
12) วันที่ 29 ต.ค. 2544 เวลา 01.30 น. หลังดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์จุ๋มจิ๋มผ่านไป 1 ปี 17 วัน เขาก่อเหตุยิงด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม “ตาย” ใน “ทเวนตี้ ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน เป็นคดีที่ถือว่า “ร้ายแรง” ที่สุด “สะเทือนขวัญ” สังคมไทยมากที่สุด นับตั้งแต่ 3 พี่น้อง “อยู่บำรุง” เคยก่อขึ้นมา
เรื่องดาบยิ้มกับพวกอยู่บำรุง เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่สังคมไทยจะยอมรับกับพฤติกรรมอันธพาลไร้ขีดจำกัดของพวก “อยู่บำรุง” ได้ ยิ่งพ่อออกมาป้องลูกด้วยการโยนความผิดให้ “ไอ้ปื้ด” เป็นคนยิงดาบยิ้มแล้วหนีไป ยิ่งพี่ชายออกมาป้องน้องเล็กจนเกือบจะยิงนายตำรวจสัญญาบัตรตายในพื้นที่ตามไปด้วยอีกหนึ่งคน ยิ่งดวงเฉลิมหนีคดีแล้วกลับมาเยี่ยงวีรบุรุษ...ยิ่งทำให้สังคมไทยคับแค้นแน่นใจกับคนในบ้านนี้ทุกคน ...เสียงก่นด่าของผู้คนดังอื้ออึงไปทั่วปฐพี และไม่มีสักวันที่คนไทยจะลืมวีรกรรมของ “อยู่บำรุง” ทั้ง 3 คนได้...จบเมลนี้ที่บรรทัดนี้
เฮ้อ....พอลอกเมลนี้จบ...พบว่าวิธีเขียนคล้ายนักข่าวสรุปข่าวเด็ด...อ่านแล้วเผ็ดจนต้องลำเลียงมาให้ทัศนา
งานนี้เฉลิมงานเข้า เพราะเมลนี้ถูกส่งกันยุ่บยั่บสะใจ แถมออกมาหลังเฉลิมด่า “เจ๊” ทันทีทันควัน ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย ไม่มีควันไม่มีไฟ....งานนี้พูดได้เลยว่า ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีการยอมกัน มึงหมัดกูหมัด มึงจิกหัวขึ้นอ้ายเรียกอี กูจะบี้ลูกมึงให้บรรลัย...จะขยี้ 3 หัวใจให้ร้าวราน
การสรุปข่าวความชั่วของลูกชาย 3 คนของพี่เหลิมในเมลนี้ บรรดานักข่าวเขาถือกันว่า เป็นงานตอบโต้แสนเร้าใจชนิดที่นางมารสวมพราด้ายังต้องเรียกแม่ – ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เหลิม-แฟนฉันปากพล่อยหาเรื่องให้ลูกชายตัวเองแท้ๆ เข้าข่ายมีหัวไว้แยกหูสองข้างจริงๆ ทำไมทำมาเลยแพ้คุณหญิงมิดไนท์หลุดลุ่ย ...โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ยังคิดไม่ออกอีกหรือว่า การลงไปลุยในสงครามดอกไม้ เด็ดเมื่อไร สะเทือนใจถึงดูไบเมื่อนั้น
ไม่น่าปากพล่อยเลย เดี๋ยวได้อดตายยกครัว…ไม่รักไม่เตือนนะเนี่ย...ต่อจากนี้ไปขอให้ใช้ชีวิตรอบคอบและโชคดี ทั้งขอให้ 3 ลูกชายมีชีวิตรอดจากกรงเล็บเจ๊ใหญ่จนได้บวชแทนคุณพ่อวันเผาผี...เพราะได้ยินว่า จิกหัวกันอย่างนี้ “มีแค้น”...ถ้าอยากรู้ว่า แค้นฝังหุ่นคนไซส์ XXL เป็นอย่างไร ให้ถาม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รายนั้นรู้ดี -ตอบได้
รักนะ...จุ๊บ จุ๊บ
เรื่องของเรื่องมาจากข่าว “บิ๊กบางบอน” สำรอกใส่ “บิ๊กหน่อย XXL” แบบเปิดหน้าชกด้วยหมัดมวยรุ่นเก๋าที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขึ้นเวทีผ้าใบก็พุ่งเข้าตีเข่าเขย่าหน่อย แบบคลุกวงในเฉียดใต้สะดือ กรรมการห้ามมวยเห็นกันจะจะ แต่เมินหน้าแกล้งมองไม่เห็น นัยว่าเกรงจะถูกลูกหลงเหมือน “นายดาบคนนั้น” ที่บัดนี้ครอบครัวของเขายังยิ้มไม่ออก หลังจากไอ้ปื้ดยิงหัวหน้าครอบครัวเขาตายในผับดังย่านรัชดาฯ เมื่อหลายปีก่อน
เหลือบไปเห็น Forward mail จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ส่งมาให้ เป็นเมล์ที่เกิดขึ้นทันควันหลังบิ๊กบางบอนด่ากราดศัตรูการเมืองไปทั่วพรรค โดยเฉพาะเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุ้นจ้านไม่เข้าท่าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” จนเป็นที่รู้กันทั่ว แต่นักเลงใหญ่บางบอนผู้ไม่เคยกลัวใครนอกจากลูกชาย 3 คน ถึงกับจิกหัวเรียกว่า “อีหน่อย”
งานนี้เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้เลยว่า เมลนี้ถูกเตรียมไว้นานแล้ว รอแต่โอกาสเหมาะๆ มาถึงเมื่อไรเท่านั้นเอง…และโอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว เมื่อ “เฉลิม” ท้ารบด้วยการออกอาวุธลับสับ “คุณหญิงมิดไนท์” อย่างไม่ยั้งไมตรี
ลำดับถัดจากนี้ไปขอพี่น้องจงศึกษาการเรียบเรียงเรื่อง “12 วีรกรรม 3 พี่น้องอยู่บำรุง” จาก Forward mail นี้ให้ดีเถิด เพราะเมลนี้คนทำเขาแม่นยำเรื่องข้อมูล และเก่งในการเรียงลำดับเรื่อง โดยเกริ่นนำด้วยถ้อยคำจุดชนวนเร้าใจน่าติดตามว่า
“ข่าวลือจบไป...จากนี้อยากจะพลิกตำนานเรื่องจริง 12 วีรกรรม 3 พี่น้องตระกูลอยู่บำรุง ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ ในยุคนั้น...โดยเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม ทั้ง 3 คน เข้าไปพัวพันในช่วงเวลา นับจากปี 2540 – 2544 ทำสถิติ 4 ปี 12 คดี ซึ่งขณะนั้นร.ต.อ.เฉลิม เป็นรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่”
เมื่ออ่านจนจบก็พบว่า เมลชุดนี้ก็ใช้วิธีการสรุปวีรกรรมสั้นๆ เหมือนการสรุปข่าว แล้วลำดับเหตุการณ์ความชั่วช้าเลวทรามของลูกชาย 3 คนจากตระกูลอยู่บำรุง ...สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา ไม่ลีลาเยิ่นเย้อ โดยเริ่มตั้งแต่
1 ) วันที่ 12 เมษายน 2540 เวลา 02.00 เศษ กับกรณี “ร.ต.ต.วันเฉลิม” ตามพ่อไปตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทยที่ภูเก็ต แล้วไปมีเรื่องชกต่อยกับนักเที่ยวในผับเอลี่ยน ผลปรากฏว่า มีคนถูกยิง 2 คน บาดเจ็บจำนวนมาก วันเฉลิมอดีตตำรวจติดตามพ่อเหลิม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ตกเป็นหนึ่งในจำเลย
2) วันที่ 27 มี.ค. 41 เวลา 01.45 น. (อีก 16 วันครบ 1 ปี)...(ผู้เขียน...คนทำเมลให้ข้อมูลละเอียดขนาดนับเวลาให้เสร็จสรรพ) ...ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพวกถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายวินัย หรือ ปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า นายวันเฉลิมร่วมลงมือ ดังนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2541 อัยการเลยสั่งไม่ฟ้อง
3) วันที่ 1 สิงหาคม 41 เวลา 23.00 น. ถัดมา 4 เดือน 4 วัน ร.ต.ต.วันเฉลิมเจ้าเก่า ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดีกรมการปกครอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานเลี้ยงของนายอัครเดช ที่ฉลองการจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ “ทอรัส ผับ”
4) วันที่ 1 ต.ค. 41 เวลา 01.30 น. ถัดมา 2 เดือน เป็นคิวของพี่ชายคนโต เมื่อร.ต.ต.อาจหาญ ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายน.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (เอแบค) อดีตแฟนสาวที่นาซีซีส ผับ (ผู้เขียน....ประเด็นนี้ขอเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวกล่าวว่า พี่เขาจับหัวผู้หญิงโขกกับเสาโรมันที่หน้าผับคะ)
5) ย่างเข้าสู่ปี 2542 ร.ต.ต.อาจหาญ และร.ต.ต.วันเฉลิม ตกเป็นผู้ต้องหาอีก โดย 2 พี่น้องเจอข้อหาใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด. 43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ พอถึงวันที่ 2 มี.ค. 2542 ทั้งสองประกาศลาออกจากราชการ หลังจากนั้นเพียง 2 วัน คือ 4 มี.ค. 2542 สนช.ไม่อนุมัติใบลาออก แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญและร.ต.ต.วันเฉลิม ออกจากราชการแทน และดำเนินคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม
6) วันที่ 29 พ.ค. 2542 “วันเฉลิม” ตกเป็นผู้ต้องหาอีก คราวนี้ถูกกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกาย น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นโรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ ส.ภ.อ. บางละมุง
7) วันที่ 11 ก.ค. 2542 เวลา 01. 30 น. ถัดมา 1 เดือน 13 วัน กลุ่มของลูกชายนายเฉลิมก่อเหตุอีก คราวนี้ไปทะเลาะก่อเรื่องวิวาทในผับ “เรด บาร์” ย่านอาร์ ซี เอ เขตห้วยขวาง คราวนี้ฉาวโฉ่สองเท่า เมื่อนักข่าว และช่างภาพไทยรัฐไปทำข่าว แต่วันเฉลิมกับพวกไม่พอใจ พากันยื้อแย่งจะเอากล้องถ่ายรูปของช่างภาพไป พวกเขาได้แสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถนักข่าวด้วย เลยถูกกองบรรณาธิการข่าวไทยรัฐแจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมดังกล่าว แต่ในที่สุดพ่อเฉลิมที่ออกโรงไปอาละวาดตำรวจถึงโรงพัก ก็ต้องหันหัวเรือกลับพาลูกชายไปขอขมานักข่าวและช่างภาพไทยรัฐถึงโรงพิมพ์ และขอร้องไม่ให้เอาความ
8) วันที่ 26 ก.ค. 2542 เพียง 15 วันหลังเกิดเหตุที่เรด บาร์ ก็ถึงคิวน้องนุชคนสุดท้องนาม ดวงเฉลิม ที่ยังเตาะแตะเรียนหนังสืออยู่ เขาพาพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเที่ยวหน้า “สปาร์คผับ” ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด โชคดีของน้องดวงที่ไม่มีใครกล้ายื่นหน้ามาเป็นพยาน หรือกล่าวยืนยัน หรือแม้แต่จะกล้าให้ปากคำซัดทอดถึง ทำให้นายดวงเฉลิมดวงดีรอดตัวไป
9) วันที่ 26 ก.ย. 2542 เวลา 03.15 น. อีกเพียง 2 เดือนถัดมาเท่านั้น นายดวงเฉลิมก็ไปก่อเรื่องอีก คราวนี้เขาควบรถเก๋งกับเพื่อนอีก 4-5 คน ไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านน.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อายุ 21 ปี เพื่อนสาวที่อาศัยในซอยศูนย์วิจัย 4 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง ทั้งนี้เพื่อขอพบน.ส.ภัทรวลัย ซึ่งเคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่บ้าน นายดวงเฉลิมเข้าใจว่าผู้หญิงหลบหน้า เลยอาละวาดกวาดกระถางต้นไม้ริมรั้วตกแตกเสียหาย แม่ของฝ่ายหญิงต้องโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพราะกลัวนายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้น ร้อนถึงผู้เป็นพ่ออีกตามเคย ต้องออกโรงโทร.เคลียร์กับแม่ของหญิงสาวเพื่อไม่ให้เอาเรื่องกับลูกชายอารมณ์ร้อน
10) ย่างสู่ปี 2543 วันที่ 26 ม.ค. 43 คืออีก 4 เดือนถัดมา ลูกวันเฉลิมกับพวกก็ไปก่อเหตุอีก คราวนี้ไปรุมทำร้ายนายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนซ์ เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ เหตุเกิดที่ “บริท 99 คลับ” ในสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ จนนายเสริมชัยบาดเจ็บสาหัส หลังจากเขม่นกันเรื่อง “ผู้หญิง” แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อเฉลิมออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า ได้สั่งห้ามลูกชายเที่ยวกลางคืน หรือไปมีเรื่องกับใครอีกเป็นการเด็ดขาด เพราะลูกชาย 2 คนเตรียมลงเลือกตั้ง เขาบอกกับสังคมไทยอย่างนั้นด้วยเหตุผลว่า ถ้าออกไปเอะอะอันธพาลเกรงว่าประชาชนจะไม่ยอมรับ!!!
ในเมลนี้ให้ข้อมูลละเอียดว่า ท้ายที่สุดแล้วคดีที่เกิดขึ้นนี้ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2544 เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทย์อ่อน และยังอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นมาเรื่องราวอันธพาลป่วนบ้านป่วนเมืองของลูกชายนายเฉลิม อยู่บำรุงก็ซาลงไป เนื่องจาก “อาจหาญและวันเฉลิม” ต้องเร่งสร้างภาพใหม่ด้วยการลงพื้นที่หาเสียงในเขตฝั่งธนฯ
อย่างไรก็ตามผู้ทำเมลยังให้ข้อมูล “ซุบซิบ” เพิ่มเติมว่า ที่ไม่ได้ยินไม่ได้แปลว่า สงบ ไม่ได้เห็นแปลว่า จบ แต่กลับพบว่า ลูกชายบางคนของสิงห์เหลิมจำเป็นต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็นถึง “ออสเตรเลีย” เพราะโดน “ฟ้าผ่า” หาใช่เรื่องอื่นใดไม่ แม้ผู้เป็นพ่อจะปฏิเสธว่าลูกชาย 2 คนเก็บตัวรอลงเลือกตั้งและคนเล็กเรียนปริญญาโทอย่างหนักก็ไม่สามารถกลบร่องรอยข่าวลือที่ลุกลามดั่งไฟลามทุ่งได้
11) จวบจนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2543 ผ่านมา 8 เดือนกับ 17 วัน นายดวงเฉลิมก็ออกจากถ้ำ เขาโตแล้วและเดินตามรอยเท้าพี่ชาย 2 คนอย่างไม่น่าเชื่อ วันนั้นเขาทะเลาะกับนศ.เอแบค ที่คาเฟ่ เรคคอร์ด ซึ่งคราวนี้ดูอื้อฉาวกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นพ่อกระโดดเข้าร่วมวงถล่มตำรวจด้วยการยืนด่ากราดตำรวจทั้ง สน.ทองหล่อ และนักข่าว นสพ.เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนเมา เป็นการร่วมวงพ่อ-ลูกด้วยอาการเบรกแตก ดังนั้นพ่อเฉลิมจึงตกเป็นจำเลยพร้อมลูกๆ ฐานหมิ่นประมาทตำรวจ แถมเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราดหยาบคายเกินเหตุ เลี้ยงลูกไม่ได้ดีเป็นอันธพาล สังคมไทยเฆี่ยนตีเฉลิมและลูกชายอย่างไม่ปรานีไปทุกหย่อมหญ้า
ช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2544 ไม่มีข่าวฉาวของลูกชายสุดที่รักของเฉลิมอีกเลย เหตุเพราะ 2 คนแรกลงเลือกตั้งแม้สอบตกแต่ “วันเฉลิม” ได้เป็นที่ปรึกษาฯ นายบุญจง วีสมหมาย รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ส่วนดวงเฉลิมไปบวชเมื่อ 6 เม.ย. 44 โดยมี “ลุงจิ๋ว – พล.อ. ชวลิต” รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมยุคนั้นสะพายบาตรนำส่งเข้าโบสถ์ด้วยตนเอง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิตก็ลงนามให้นายดวงเฉลิมเข้าเป็นนายทหารสังกัดสำนักงานเลขานุการ รมว.กลาโหม อยู่กับพล.ต.ศรชัย มนตริวัต เลขานุการ รมว.กลาโหม และในวันที่ 8 มิ.ย. ได้รับการประดับยศเป็น “ร้อยตรี” จากมือของ “ลุงจิ๋ว” วันนั้นร.ต.ดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์น่ารักว่า “เดี๋ยวนี้กลางคืนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ประมาณสี่ทุ่มก็เข้านอนแล้ว เพราะต้องทำงานเช้า”
12) วันที่ 29 ต.ค. 2544 เวลา 01.30 น. หลังดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์จุ๋มจิ๋มผ่านไป 1 ปี 17 วัน เขาก่อเหตุยิงด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม “ตาย” ใน “ทเวนตี้ ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน เป็นคดีที่ถือว่า “ร้ายแรง” ที่สุด “สะเทือนขวัญ” สังคมไทยมากที่สุด นับตั้งแต่ 3 พี่น้อง “อยู่บำรุง” เคยก่อขึ้นมา
เรื่องดาบยิ้มกับพวกอยู่บำรุง เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่สังคมไทยจะยอมรับกับพฤติกรรมอันธพาลไร้ขีดจำกัดของพวก “อยู่บำรุง” ได้ ยิ่งพ่อออกมาป้องลูกด้วยการโยนความผิดให้ “ไอ้ปื้ด” เป็นคนยิงดาบยิ้มแล้วหนีไป ยิ่งพี่ชายออกมาป้องน้องเล็กจนเกือบจะยิงนายตำรวจสัญญาบัตรตายในพื้นที่ตามไปด้วยอีกหนึ่งคน ยิ่งดวงเฉลิมหนีคดีแล้วกลับมาเยี่ยงวีรบุรุษ...ยิ่งทำให้สังคมไทยคับแค้นแน่นใจกับคนในบ้านนี้ทุกคน ...เสียงก่นด่าของผู้คนดังอื้ออึงไปทั่วปฐพี และไม่มีสักวันที่คนไทยจะลืมวีรกรรมของ “อยู่บำรุง” ทั้ง 3 คนได้...จบเมลนี้ที่บรรทัดนี้
เฮ้อ....พอลอกเมลนี้จบ...พบว่าวิธีเขียนคล้ายนักข่าวสรุปข่าวเด็ด...อ่านแล้วเผ็ดจนต้องลำเลียงมาให้ทัศนา
งานนี้เฉลิมงานเข้า เพราะเมลนี้ถูกส่งกันยุ่บยั่บสะใจ แถมออกมาหลังเฉลิมด่า “เจ๊” ทันทีทันควัน ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย ไม่มีควันไม่มีไฟ....งานนี้พูดได้เลยว่า ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีการยอมกัน มึงหมัดกูหมัด มึงจิกหัวขึ้นอ้ายเรียกอี กูจะบี้ลูกมึงให้บรรลัย...จะขยี้ 3 หัวใจให้ร้าวราน
การสรุปข่าวความชั่วของลูกชาย 3 คนของพี่เหลิมในเมลนี้ บรรดานักข่าวเขาถือกันว่า เป็นงานตอบโต้แสนเร้าใจชนิดที่นางมารสวมพราด้ายังต้องเรียกแม่ – ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เหลิม-แฟนฉันปากพล่อยหาเรื่องให้ลูกชายตัวเองแท้ๆ เข้าข่ายมีหัวไว้แยกหูสองข้างจริงๆ ทำไมทำมาเลยแพ้คุณหญิงมิดไนท์หลุดลุ่ย ...โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ยังคิดไม่ออกอีกหรือว่า การลงไปลุยในสงครามดอกไม้ เด็ดเมื่อไร สะเทือนใจถึงดูไบเมื่อนั้น
ไม่น่าปากพล่อยเลย เดี๋ยวได้อดตายยกครัว…ไม่รักไม่เตือนนะเนี่ย...ต่อจากนี้ไปขอให้ใช้ชีวิตรอบคอบและโชคดี ทั้งขอให้ 3 ลูกชายมีชีวิตรอดจากกรงเล็บเจ๊ใหญ่จนได้บวชแทนคุณพ่อวันเผาผี...เพราะได้ยินว่า จิกหัวกันอย่างนี้ “มีแค้น”...ถ้าอยากรู้ว่า แค้นฝังหุ่นคนไซส์ XXL เป็นอย่างไร ให้ถาม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รายนั้นรู้ดี -ตอบได้
รักนะ...จุ๊บ จุ๊บ