xs
xsm
sm
md
lg

คลังสวนจีดีพีมีแววฟื้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – สัญญาณเศรษฐกิจสดใส คลังระบุจีดีพีไตรมาส 4 ปี 52ไม่ต่ำกว่า 3.5% ดึงค่าเฉลี่ยทั้งปีดีขึ้นเหลือติดลบแค่ 2.8% เชื่อปัจจัยบวกเพิ่มหนุนจีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวที่ 5.0% เผยพร้อมเพิ่มงบกลางปีกระตุ้นเศรษฐกิจต่อหากแนวโน้มจัดเก็บรายได้ดีขึ้น

นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจเดือนธันวาคม 2552 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 ทุกตัวล้วนปรับตัวดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.5% ดีกว่าเดิมที่มองว่าขยายตัว 3% ส่งผลให้ทั้งปี 2552 ตัวเลขติดลบเพียง 2.8% ซึ่งดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้รวมทั้งสศค.เองด้วย โดยมองว่าปี 2553 ก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องแม้การลงทุนและการผลิตภาคเอกชนจะยังฟื้นตัวได้ช้าอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะมีสัญญาณที่ดี โดยทั้งปียังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างน้อย 3.5% ซึ่งคำนึงถึงการชะลอการลงทุนในมาบตาพุดไว้แล้ว แต่หากยังยืดเยื้อก็อาจจะกระทบจีดีพีลดลงอีก 0.5%

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนธันวาคม และไตรมาส 4 ปี 52 ที่ดีขึ้นหรือเป็นบวกแทบทุกตัวไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การใช้จ่ายในประเทศ ทั้งการการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มยอดซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชนในส่วนของ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นมากและการจ้างงานที่กลับคืนมา ทำให้อัตราการว่างงานลดลงเหลือเพียง 1% หรือ 3.9 แสนคน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการลงทุนในหมดเครื่องจักร อุปกรณ์ ยังคงฟื้นตัวอย่างเปราะบางสะท้อนจากการนำเข้าสินค้าทุนที่ยังติดลบเล็กน้อยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเอกชนยังใช้สินค้าในสต็อกเก่า แต่ต่อไปมองว่าน่าจะมีการลงทุนเพิ่มผลิตสินค้ามากขึ้นทำให้เชื่อว่าไตรสมาสแรกของปี 2553 จีดีพีน่าจะขยายตัวได้ถึง 5%

เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 4ปีก่อนไม่ได้มาจากการเทียบกับฐานที่ต่ำของปีก่อนแต่มาจากตัวเลขต่างๆ ที่ดีขึ้นจริงโดยเฉพาะภาคการผลิตที่ขยายตัวถึง 11.5% จากที่ติดลบไตรมาสก่อนที่ 5.5% ถือว่ามีส่วนช่วยอย่างมาก ส่วนการลงทุนน่าจะมีตามมาในไตรมาสแรกปีนี้ แต่ที่น่าจับตาคือปัญหาเงินเฟ้อที่มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสถานการณ์ของเศรษฐกิจในบางประเทศ ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในนั้นคงไม่สารถคาดเดาได้ ” นายเอกนิติกล่าวและว่า รัฐบาลยังจำเป็นต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องทำงบประมาณปี 2554ขาดุล 4 แสนล้านบาท แม้ตัวเลขจะมากกว่าปี 2553 แต่ในทางปฎิบัติของปีนี้รวมการกู้เงินอีก 2 แสนล้านบาทของไทยเข้มแข็งก็จะเป็นงบลงทุนถึง 5.5 แสนล้านบาท

หวั่นลดภาษีนิติฯ รายได้วูบ
นายสาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาปรับลดภาษีนิติบุคคลลงจากระดับปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 30% นั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบและเหมาะสม ซึ่งหากจะทำจะต้องลดพร้อมกันทั้งระบบ ทั้งภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดา เพราะหากลดเพียงภาษีนิติบุคคล ก็อาจจะทำให้บุคคลธรรมดาหลีกเลี่ยงด้วยการไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ ขณะเดียวกันต้องหาช่องทางอื่นที่จะเพิ่มการจัดเก็บได้ให้กับรัฐมาทดแทนด้วย โดยจากการประเมินภาษีนิติบุคคลที่ลดลง 5% จาก 30% เหลือ 25% นั้นจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ถึง 7 หมื่นล้านบาท

“แม้ว่าปัจจุบันการเสียภาษีนิติบุคคลที่ 30% จะมีไม่ถึง 20% เพราะที่เหลือจะได้สิทธิได้รับการยกเว้นต่างๆ ทั้งที่เป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่(mai) แต่หากปรับลดภาษีลง จะมีผลในวงกว้างมากกว่า รวมถึงผลกระทบต่อรายได้รัฐด้วยว่าจะมีช่องทางอื่นที่จะหารายได้มาชดเชยหรือไม่ เช่น การนำภาษีทรัพย์สินมาบังคับใช้ หรือการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องระยะเวลาที่เหมาะสมมากกว่า”นายสาธิตกล่าว

คาดงบสมดุลปี 58
นายสาธิตกล่าวถึงงบประมาณปี 2554 ที่ขาดดุล 4.2 แสนล้านบาทว่า หากมองเป็นตัวเลขอาจจะมากกว่างบประมาณปี 2553 ที่ขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเงินกู้ตามพรก.กู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 4 แสนล้านบาท โดยที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในปี 3553 ได้ 2 แสนล้านบาท ดังนั้น หากมองเม็ดเงินจะเห็นว่าการขาดดุลงบประมาณไม่ได้เพิ่มขึ้น และหากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะทำให้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย และจะทำให้การขาดดุลลดลงได้ และจากการเปรียบเทียบกับวิกฤติการเงินเมื่อปี 2540 คาดว่าน่าจะเข้าสู่งบประมาณสมดุลได้ใน 4 ปี หรือในปี 2558 ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เกินเป้าหมายอย่างต่อเนื่องอากมีการเสนอจัดทำงบกลางปีเพื่อเป็ฯเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับปัญหาโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ถูกศาลปกครองสั่งระงับเพิ่มอีก 30 โครงการ นายสาธิตกล่าวว่า ต้องติดตามดูว่าโครงการต่างๆจะถูกลากยาวมากน้อยเพียงใด แต่จากการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของสศค.นั้นได้ทำอย่างระมัดระวังแล้ว แต่หากลากยาว ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการประมาณการเศรษฐกิจ 0.5% จากที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2553 จะขยายตัว 3.5% จากช่วงที่มองไว้ 3-4% เผื่อปัจจัยภายนอกที่ยังต้องจับตามมองทั้ง การว่างงานสหรัฐที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามาจากการอัดฉีดภาครัฐหรือการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงเศรษฐกิจในบางประเทศของยุโรปเช่น กรีซ รวมถึงปัญหาของมาบตาพุดด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น