xs
xsm
sm
md
lg

SCCฟันกำไรสิ้นปี2.4หมื่นล. อานิสงส์ต้นทุนต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน -เครือซิเมต์ไทยฟันกำไรงวดสิ้นปี 24,346 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 45% แม้ยอดขายลดลง ผลดีจากการลดต้นทุนการดำเนินงาน เร่งขยายตลาดส่งออก พัฒนาสินค้าและบริการ HVA รวมทั้งสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดเพิ่มต่อเนื่อง หลังได้รับการตอบรับดี มั่นใจปีนี้ยอดขายขยับขึ้นเกิน 10% และกำไรสูงกว่าปี 52 อัดงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท เน้นธุรกิจปิโตรเคมี และปรับปรุงเครื่องจักร เตรียมออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท รีไฟแนนซ์หนี้

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และบริษัทในเครือ เอสซีจี เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 52 ว่าบริษัทฯคาดว่ายอดขายรวมปีนี้จะเติบโตประมาณ 10% หรืออาจเกินกว่านั้นเล็กน้อย รวมทั้งกำไรจากการดำเนินงานที่จะสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน อันเป็นผลจากการเติบโตในทุกสายธุรกิจ แม้ขณะนี้ธุรกิจปูนซิเมนต์ยังไม่เห็นการปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์ที่เพิ่มขึ้นนักแต่ก็มีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยจากโครงการภาครัฐที่เริ่มเห็นชัดเจนหลังมีการเซ็นสัญญาในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง และ เชื่อว่าความต้องการใช้ปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนธุรกิจกระดาษยังคงเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานกระดาษที่ขอนแก่นและเวียดนาม ดังนั้นเชื่อว่ากลุ่มเหล่านี้จะเติบโต 5-10%

สำหรับปิโตรเคมีแม้ว่า ก่อนหน้านี้ที่ประเมินว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาสู่ตลาดเพิ่มเกือบ 12 ล้านตันในปีนี้คาดเหลือเพียง 7 ล้านตัน เพราะปี 52 จากที่คาดว่าจะมีกำลังผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา 9 ล้านตันแต่พบว่าเหลือเพียง 3-4 ล้านตันเท่านั้น จึงทำให้กำลังผลิตที่เหลื่้อมอยู่ 5 ล้านตันนั้นจะเข้ามาปีนี้ เนื่องจากการปิดโรงงานผลิตที่มีต้นทุนสูง ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น ส่งผลให้สเปรดของผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น โดยช่วง 3 สัปดาห์แรกปี 53 อยู่ที่ 580 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสเปรดผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 4 ปี 52 เฉลี่ยอยู่ที่ 530 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น จึงมั่นใจว่าธุรกิจนี้จะยังเติบโตได้เกินกว่า 10% จากยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น

สำหรับผลงานงวดสิ้นปี 52 นั้น พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 24,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์ กระดาษและวัสดุก่อสร้างมีผลประกอบการที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แม้ยอดขายทั้งกลุ่มจะลดลง 19% จากปีก่อน อันเป็นผลจากราคาขายผลิตภัณฑ์และกระดาษในตลาดโลดลดลง โดยปี 52 มียอดขายสุทธิ 238,664 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ขยายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นพร้อมกับพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเติบโตของสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มเป็น 25% ในปีนี้ ขณะที่ปีก่อนยอดการเติบโตเพียง 19% ล่าสุดได้นำสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยฉลาก SCG ECO VALUE ออกสู่ตลาด ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี

" กำไรของเราเติบโตเพราะการลดต้นทุนการผลิต และการวิจัยและพัฒนา (R&D)ที่เรายอมจ่ายเพื่อมุ่งผลิตสินค้าต่าง ๆ ของกลุ่ม ซึ่งปีนี้ 52 ใช้งบนี้ถึง 880 ล้านบาท เพิ่มจากปี 51 ที่งบใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนา 780 ล้านบาท ซึ่งเราจะทำอย่างต่อเนื่อง และจากนี้เราจะมุ่งผลิตสินค้าสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น "

ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มียอดขายสุทธิลดลง 26% เนื่องจากราคาขายต่ำลงสวนทางกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 105% เพราะปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือเกือบ 5 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจกระดาษยอดขายก็ลดลง 9% แต่กำไรเพิ่ม 38% จากความต้องการกระดาษที่เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มสูง และธุรกิจซีเมนต์ยอดขายลดลง 7% อันเป็นผลจากราคาขายโดยเฉลี่ยลดลงทั้งตลาดในและต่างประเทศ แต่กำไรสุทธิยังขยับเพิ่ม 3% ผลจากการลดต้นทุนพลังงานโครงการ WEAST-HEAT POWER GENERATION (WHG)

โดยปีนี้เชื่อว่า หลังวิกฤตการเงินที่กระทบไปทั่วโลก ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศต่างอัดฉีดงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้ปีนี้เชื่อว่าภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว ส่งผลให้เชื่อว่าตัวเลขจีดีพีจะเป็นบวกได้ ซึ่งตัวเลขการประเมินจากหลายสำนักประเมินออกมาว่าตัวเลขจีดีพีไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 3-.35 %

สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนทั้งสิ้น 2 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้ในการลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีสำหรับโครงการที่มีความเป็นไปได้และมีโอกาสเติบโตวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ในหลายโครงการ ๆ ละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท และการปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดวงเงิน 5-6 พันล้านบาทที่เหลือใช้ใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนในด้าน M&A นั้น จะเป็นงบที่แยกต่างหาก ซึ่งบริษัทยังคงเจรจาลงทุนอย่างต่อเนื่องและในทุกสายธุรกิจ แต่ละโครงการใช้เงินทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท และคาดว่าดีลที่เจรจาอยู่หลายดีลนั้นตจะสรุปได้อย่างน้อย 1 โครงการในไตรมาสแรกปีนี้ หลังจากปลายปี 52 บริษัทปิดดีลซื้อโรงงานกล่องกระดาษที่เวียดนามแล้ว

"เราจะเน้นการเข้าร่วมทุนและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ผ่านมาพันธมิตรของเราไม่ยอมเปิดทางให้เราถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องการขายส่วนน้อยดีลก็จบไป ส่วนที่เหลือก็คุยเรื่อย ๆ เราสนการทำร่วมทุน หรือ M&A เพราะจะเพิ่มตลาด เพิ่มยอดขายและมี EBITDA เข้ามาได้เลย "

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมอออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1 วงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในขณะนั้น เพื่อนำเงินไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดวันที่ 1 เมษายนนี้ ซึ่้งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่เมื่อรวมกับหุ้นกู้ชุดเดิมจะทำให้เครือมีวงเงินกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1.1 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้อีกชุด วงเงิน 5 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนเดือนตุลาคมนี้
"การออกหุ้นกู้เชื่อว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ย แม้ว่าจะมีความไม่มั่นใจจากกรณีมาบตาพุด และสถานะการเงินเรายังแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินเพราะขณะนี้เรามีเงินสดอยู่ 28,900 ล้านบาท แม้โครงการที่มาบตาพุดจะเลื่อนออกไปแต่ไม่กระทบรายได้ของเรา เพราะรายได้จากโครงการที่ถูกระงับตามคำสั่งศาลนั้น เป็นส่วนใหม่ที่จะรับรู้เข้ามาเมื่อโครงการล่าช้าการรับรู้รายได้และกำไรก็เลื่อนออกไป "

พร้อมกันนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลอัตราหุ้นละ 8.50 บาท แต่ได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 3 .50 บาท จึงเหลือปันผลปี 52 อีก 5 บาท ที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้น 28 เมษายนนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น