ปูนซิเมนต์ไทยตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตกว่า 10% หลังแนวโน้มราคาวัตถุดิบและสินค้าปรับตัวสูงขึ้น หวั่นต้นทุนพลังงานพุ่ง เป็นปัจจัยลบให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แย้มไตรมาสแรกนี้ประกาศซื้อกิจการเพิ่มขึ้นอีก 1ราย ย้ำปัจจัยการเมืองตัวฉุดความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจในประเทศ วอนทุกฝ่ายร่วมมือเพื่อคลี่คลายปัญหา
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โตเพิ่มขึ้น 10% หรือมากกว่านี้เล็กน้อย สืบเนื่องจากราคาวัตถุดิบและสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เดิมประเมินว่าปีนี้จะอ่อนตัวลงก็ปรากฎว่ายังมีราคาดีอยู่โดยราคาเม็ดพลาสติกHDPEอยู่ที่ตันละ 1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ และราคาเศษกระดาษในสหรัฐฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40-50เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วง2สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคากระดาษในภูมิภาคนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย สิ่งที่ธุรกิจให้ความกังวลในช่วงนี้คือราคาพลังงาน ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ต้นทุนราคาสินค้าปรับตัวขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 77 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากต้นปีก่อนอยู่ที่ 39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทฯต้องปรับประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ที่ตั้งไว้ 72 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 75-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ราคาถ่านหินในตลาดจรก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนความคืบหน้าการซื้อกิจการ (M&A) นั้น บริษัทได้เจรจาเพื่อร่วมทุนหรือซื้อกิจการในหลายบริษัท ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าในไตรมาสแรกจะมีดีลเจรจาที่จะเปิดเผยออกมาได้ 1 ดีล ขนาดของกิจการอยู่ที่ 1-2 พันล้านบาท ซึ่งยอมรับจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวนี้ทำให้มูลค่าเจรจาปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯได้มีการเจรจาเพื่อซื้อกิจการในธุรกิจหลักไมว่าจะเป็นธุรกิจกระดาษ ปิโตรเคมี รวมทั้งวัสดุก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบการซื้อกิจการนั้นจะมีทั้งการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในธุรกิจที่ปูนซิเมนต์ไทยถือหุ้นอยู่ หรือการซื้อหุ้นทั้งหมด รวมไปถึงการซื้อหุ้นส่วนหนึ่งโดยพาร์ทเนอร์เดิมถือหุ้นอยู่ด้วย
“บริษัทฯมีการเจรจาหลายโครงการ แต่ปีที่แล้วสำเร็จเพียงรายการเดียว คือโครงการทำกล่องในเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทฯยังสนใจที่จะซื้อกิจการโครงการผลิตกล่องกระดาษในต่างประเทศอยู่ ”
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวในปีนี้ โดยมีสัญญาณปัจจัยบวกเข้ามาทั้งดัชนีความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าปีนี้ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ขยายตัว 5%ส่วนวัสดุก่อสร้างก็ดีขึ้นด้วยจะเห็นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2552
ส่วนธุรกิจกระดาษที่ใช้ทำกล่องบรรจุภัณฑ์พบว่ามีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนสอดคล้องกับภาคการส่งออก ดังนั้นปีนี้คาดว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อความเชื่อมั่นและภาวะเศรษฐกิจไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง จึงอยากให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือเพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ส่วนกรณีโครงการมาบตาพุดที่โครงการของเครือซิเมนต์ไทยถูกระงับกิจการไว้หลายโครงการนั้น นายกานต์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว 5 โครงการ โดยเป็นของบริษัท 4 โครงการ และอีกโครงการเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ดาว เคมิคอล ซึ่ง 4 โครงการที่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเป็นโครงการที่ลดมลพิษ ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
และอีกโครงการหนึ่งได้ผ่านการอนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)มาก่อนรัฐธรรรมนูญมีผลบังคับใช้ในปี 2550 ดังนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จในอีก 1ปีครึ่ง ซึ่งจะยื่นขอความกรุณาจากศาลให้โครงการเหล่านี้ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนเพราะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่อาจจะเกิดฝุ่นหรือเสียง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการก่อสร้าง โดยบริษัทฯจะดูแลปัญหาดังกล่าวอย่างดี
อย่างไรก็ตาม โครงการทั้งหมดนี้จะทำผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และสิ่งแวดล้อมใหม่ตามเงื่อนไขข้อกำหนดจากรัฐบาล ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นศาลปกครองสูงสุด ฟ้องนายกรัฐมนตรี และ ครม. และขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน และคุ้มครองชั่วคราวกรณีออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งองค์การอิสระแก้ปัญหามาบตามพุดไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้พิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างดี รัฐบาลดูแลรอบคอบแล้ว และทุกฝ่ายต้องร่วมมือช่วยกันแก้ปัญหาจริงจัง
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โตเพิ่มขึ้น 10% หรือมากกว่านี้เล็กน้อย สืบเนื่องจากราคาวัตถุดิบและสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เดิมประเมินว่าปีนี้จะอ่อนตัวลงก็ปรากฎว่ายังมีราคาดีอยู่โดยราคาเม็ดพลาสติกHDPEอยู่ที่ตันละ 1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ และราคาเศษกระดาษในสหรัฐฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40-50เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วง2สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคากระดาษในภูมิภาคนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย สิ่งที่ธุรกิจให้ความกังวลในช่วงนี้คือราคาพลังงาน ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ต้นทุนราคาสินค้าปรับตัวขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 77 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากต้นปีก่อนอยู่ที่ 39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทฯต้องปรับประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ที่ตั้งไว้ 72 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 75-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ราคาถ่านหินในตลาดจรก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนความคืบหน้าการซื้อกิจการ (M&A) นั้น บริษัทได้เจรจาเพื่อร่วมทุนหรือซื้อกิจการในหลายบริษัท ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าในไตรมาสแรกจะมีดีลเจรจาที่จะเปิดเผยออกมาได้ 1 ดีล ขนาดของกิจการอยู่ที่ 1-2 พันล้านบาท ซึ่งยอมรับจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวนี้ทำให้มูลค่าเจรจาปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯได้มีการเจรจาเพื่อซื้อกิจการในธุรกิจหลักไมว่าจะเป็นธุรกิจกระดาษ ปิโตรเคมี รวมทั้งวัสดุก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบการซื้อกิจการนั้นจะมีทั้งการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในธุรกิจที่ปูนซิเมนต์ไทยถือหุ้นอยู่ หรือการซื้อหุ้นทั้งหมด รวมไปถึงการซื้อหุ้นส่วนหนึ่งโดยพาร์ทเนอร์เดิมถือหุ้นอยู่ด้วย
“บริษัทฯมีการเจรจาหลายโครงการ แต่ปีที่แล้วสำเร็จเพียงรายการเดียว คือโครงการทำกล่องในเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทฯยังสนใจที่จะซื้อกิจการโครงการผลิตกล่องกระดาษในต่างประเทศอยู่ ”
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวในปีนี้ โดยมีสัญญาณปัจจัยบวกเข้ามาทั้งดัชนีความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าปีนี้ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ขยายตัว 5%ส่วนวัสดุก่อสร้างก็ดีขึ้นด้วยจะเห็นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2552
ส่วนธุรกิจกระดาษที่ใช้ทำกล่องบรรจุภัณฑ์พบว่ามีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนสอดคล้องกับภาคการส่งออก ดังนั้นปีนี้คาดว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อความเชื่อมั่นและภาวะเศรษฐกิจไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง จึงอยากให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือเพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ส่วนกรณีโครงการมาบตาพุดที่โครงการของเครือซิเมนต์ไทยถูกระงับกิจการไว้หลายโครงการนั้น นายกานต์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว 5 โครงการ โดยเป็นของบริษัท 4 โครงการ และอีกโครงการเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ดาว เคมิคอล ซึ่ง 4 โครงการที่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเป็นโครงการที่ลดมลพิษ ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
และอีกโครงการหนึ่งได้ผ่านการอนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)มาก่อนรัฐธรรรมนูญมีผลบังคับใช้ในปี 2550 ดังนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จในอีก 1ปีครึ่ง ซึ่งจะยื่นขอความกรุณาจากศาลให้โครงการเหล่านี้ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนเพราะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่อาจจะเกิดฝุ่นหรือเสียง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการก่อสร้าง โดยบริษัทฯจะดูแลปัญหาดังกล่าวอย่างดี
อย่างไรก็ตาม โครงการทั้งหมดนี้จะทำผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และสิ่งแวดล้อมใหม่ตามเงื่อนไขข้อกำหนดจากรัฐบาล ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นศาลปกครองสูงสุด ฟ้องนายกรัฐมนตรี และ ครม. และขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน และคุ้มครองชั่วคราวกรณีออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งองค์การอิสระแก้ปัญหามาบตามพุดไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้พิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างดี รัฐบาลดูแลรอบคอบแล้ว และทุกฝ่ายต้องร่วมมือช่วยกันแก้ปัญหาจริงจัง