ASTVผู้จัดการรายวัน- บอร์ดบีโอไอนัดแรกรับปี 53 เตรียมไฟเขียวอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 9 กิจการมูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท พบเกือบทั้งหมดเป็นกิจการในกลุ่มพลังงาน เตรียมวางกรอบส่งเสริมการลงทุนใหม่ ยึดแนวคิดการลงทุนที่ยั่งยืนด้วยการรีวิวนโยบายปีแห่งการส่งเสริมการลงทุนใหม่
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ดบีโอไอที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี เป็นประธานวันนี้ (25ม.ค.) ซึ่งถือเป็นการประชุมบอร์ดบีโอไอนัดแรกของปี 2553 จะมีการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 9 โครงการมูลค่าประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยกิจการส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงานเกือบทั้งหมด
โดยทั้ง 9 โครงการประกอบด้วย 1.บริษัท ไทย เจนเนอรัล ไนซ์โคล แอนด์ โค้ก จำกัด ผลิตถ่านโค้ก (Coke) เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท 2.บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ผลิต TREATED DISTILLATED AROMATIC EXTRACT (TDAE) เงินลงทุน 1,100 ล้านบาท 3.บริษัท ไอเอชไอ เทอร์โบ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ ได้แก่ อุปกรณ์ช่วยอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์โดยใช้ไอเสียของเครื่องยนต์กลับมาเป็นตัวขับดัน เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท
4.บริษัท เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการทดสอบและสำรวจด้านโครงสร้างของแท่นขุดเจาะเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เงินลงทุน 1,812 ล้านบาท 5.บริษัท เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการทดสอบและสำรวจด้านโครงสร้างของแท่นขุดเจาะเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เงินลงทุน 3,407 ล้านบาท 6.บริษัท โรจนะเพาเวอร์ จำกัด ผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เงินลงทุน 5,200 ล้านบาท
7. บริษัท ฟินิคซ ยูทิลิตี้ส์ จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ จากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ กำลังการผลิต 9.6 เมกกะวัตต์ เงินลงทุน 1,520 ล้านบาท 8.บริษัท บางจากโซลาร์เอ็นเนอร์ยี จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุน 3,360 ล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้า 30 เมกกะวัตต์ 9.บริษัท สยามกลการและนิสสัน จำกัด ผลิตชิ้นส่วนโลหะและชิ้นส่วนประกอบของตัวถังรถยนต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะมีการพิจารณาวางกรอบการส่งเสริมการลงทุนที่เน้นแนวคิด “นโยบายลงทุนที่ยั่งยืน” โดยทบทวน และปรับปรุงมาตรการเดิมที่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งเสริมไปแล้ว แต่ยังมีความสำคัญ เช่น มาตรการส่งเสริมปีแห่งการลงทุน 2551-2552 โดยพิจารณาต่ออายุการให้สิทธิส่งเสริมดังกล่าว เฉพาะประเภทกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างการลงทุนที่ยั่งยืน
รวมถึงการกำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็น White Country หรือประเทศที่มีกระบวนการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้าอย่างโปร่งใส
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ดบีโอไอที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี เป็นประธานวันนี้ (25ม.ค.) ซึ่งถือเป็นการประชุมบอร์ดบีโอไอนัดแรกของปี 2553 จะมีการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 9 โครงการมูลค่าประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยกิจการส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงานเกือบทั้งหมด
โดยทั้ง 9 โครงการประกอบด้วย 1.บริษัท ไทย เจนเนอรัล ไนซ์โคล แอนด์ โค้ก จำกัด ผลิตถ่านโค้ก (Coke) เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท 2.บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ผลิต TREATED DISTILLATED AROMATIC EXTRACT (TDAE) เงินลงทุน 1,100 ล้านบาท 3.บริษัท ไอเอชไอ เทอร์โบ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ ได้แก่ อุปกรณ์ช่วยอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์โดยใช้ไอเสียของเครื่องยนต์กลับมาเป็นตัวขับดัน เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท
4.บริษัท เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการทดสอบและสำรวจด้านโครงสร้างของแท่นขุดเจาะเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เงินลงทุน 1,812 ล้านบาท 5.บริษัท เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการทดสอบและสำรวจด้านโครงสร้างของแท่นขุดเจาะเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เงินลงทุน 3,407 ล้านบาท 6.บริษัท โรจนะเพาเวอร์ จำกัด ผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เงินลงทุน 5,200 ล้านบาท
7. บริษัท ฟินิคซ ยูทิลิตี้ส์ จำกัด ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ จากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ กำลังการผลิต 9.6 เมกกะวัตต์ เงินลงทุน 1,520 ล้านบาท 8.บริษัท บางจากโซลาร์เอ็นเนอร์ยี จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุน 3,360 ล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้า 30 เมกกะวัตต์ 9.บริษัท สยามกลการและนิสสัน จำกัด ผลิตชิ้นส่วนโลหะและชิ้นส่วนประกอบของตัวถังรถยนต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะมีการพิจารณาวางกรอบการส่งเสริมการลงทุนที่เน้นแนวคิด “นโยบายลงทุนที่ยั่งยืน” โดยทบทวน และปรับปรุงมาตรการเดิมที่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งเสริมไปแล้ว แต่ยังมีความสำคัญ เช่น มาตรการส่งเสริมปีแห่งการลงทุน 2551-2552 โดยพิจารณาต่ออายุการให้สิทธิส่งเสริมดังกล่าว เฉพาะประเภทกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างการลงทุนที่ยั่งยืน
รวมถึงการกำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็น White Country หรือประเทศที่มีกระบวนการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้าอย่างโปร่งใส