นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มแนร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์เห็นว่า ในช่วงเวลา 10 วันอันตราย จะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดความรุนแรง ถึงแม้รัฐบาล ไม่ได้ตื่นตูมกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ประมาทที่จะติดตามหรือเฝ้าระวังความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น เหมือนกับหลายครั้งที่ได้มีการชุมนุมก่อนหน้านี้ ซึ่งฝ่ายข่าวได้ติดตามและพบเบาะแสเรื่องความรุนแรง โดยได้เข้าไปสกัดไม่ให้ความุนแรงเกิดขึ้น ทำให้การชุมนุม เป็นไปได้ด้วยดี ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน และเห็นว่าในช่วงเวลา 10 วันฝ่ายข่าว ต้องทำงานเต็มที่เพื่อเฝ้าระวังป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ช่วงเวลา 10 วันอันตราย มีสถานที่ที่จะต้องเฝ้าระวังและอาจเป็นจุดล่อแหลมของการชุมนุม 10 จุด คือ 1. ทำเนียบรัฐบาล 2. รัฐสภา 3. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 4. สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง 5. ทำเนียบองคมนตรี 6. บ้านสี่เสาเทเวศร์ 7 ที่ทำการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และบ้านพักกกต.ทั้ง 5 คน 8. ที่ทำการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) และบ้านพักของ กรรมการ ปปช. 9. กระทรวงทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ 10. กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ
สำหรับ 3 จุดแรกถือเป็นตัวแทนของศาลอำนาจอธิปไตย เชื่อว่าถ้ากลุ่ม คนเหล่านี้ปิดล้อมและสามารถยึดได้ นั่นคือเป้าหมายที่คนเสื้อแดงพยายามสร้างกระแสเรื่องการปฏิวัติประชาชน และสถาปนารัฐไทยใหม่ ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศไว้ ส่วนจุดล่อแหลมที่ 4-6 นั้น ตนคิดว่า เป็นการต่อสู้กับองค์กรเหล่านี้ เพราะองค์กรเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง
อย่างไรก็ตามตนคิดว่า หากสถานการณ์รุนแรง จุดที่น่าจับตามมอง คือการชุมนุนมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอาจจะเป็นการเอาอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้
นายเทพไท กล่าวว่า กว่าจะถึง 10 วันอัตราย เชื่อว่าจะมีการชุมนุมของ คนเสื้อแดงในสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างกระแส เพื่อชิมลางทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่เขายายเที่ยง และการประกาศชุมนุมที่เขาสอยดาว รวมถึงการที่บอกว่าจะไปชุมนุมที่สนามกอล์ฟ จ.เชียงใหม่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่า เป็นการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ แต่คนเสื้อแดงบอกว่าเป็นการชุมนุมเชิงสันทนาการ คือ ลักษณะสังสรรค์มากว่าที่จะเอาจริงเอาจังทางการเมือง
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่มีนายทหารจำนวนหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพียงการสร้าง กระแส เพื่อการันตี ความจงรักภักดี ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ การทำการเมืองเชิงการตลาด ตามแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้นายทหารนอก ประจำการ มาเป็นสมาชิกในลักษณะขายตรง ที่ต่อไปอาจจะมีการขยายวงจนถึงระดับพลทหาร หรือทหารเกณฑ์
ผมเชื่อว่าทหารประจำการที่อยู่ในหน้าที่ ยังคงมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และยังคงเป็นนายทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีใครคิดเป็นอื่น อย่างแน่นอน สถาบันทหาร คงไม่มีใครคิดเปลี่ยนใจเหมือนนายทหารนอกประจำการบางคน ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวตื่นเต้นกับข่าวลักษณะเช่นนี้ เชื่อว่าจะมีข่าวลักษณะนี้ออกมาอีก
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหว ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการเดินทางเพื่อทวงถามความคืบหน้าการถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้ง ๆ ที่ได้เสนอขึ้นไปแล้วควรรอให้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาก่อนหรือไม่ว่า คงเป็นอย่างที่สื่อมวลชนถาม ความถูกต้องก็จะต้องรอในการตรวจสอบ ส่วนการเคลื่อนไหวกลุ่มเสื้อแดงในกดดันสถาบันองคมนตรี และ สำนักราชเลขาธิการนั้น คงพยายามจุดประเด็นเพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เป็นสิ่งที่เขาพยายามดำเนินการเพื่อให้เป็นประเด็นปัญหา ในส่วนของกองทัพคงติดตามการเคลื่อนไหวเท่านั้น ทั้งนี้ คงไม่มีปัญหาอะไร หากไม่มีการดำเนินการอะไรที่เป็นประเด็นและเกิดปัญหาขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าใกล้ถึงวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเกิดความรุนแรงนั้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า คงจะเป็นการวางแผนของเขา แต่ทางกองทัพก็คงติดตามความเคลื่อนไหว คงไม่ได้ทำอะไร ส่วนที่ที่มีการระบุว่าระหว่างวันที่ 16-26 ก.พ.2553 เป็นช่วง 10 วันอันตรายนั้นตน ไม่ได้มองว่าเป็นอันตราย หากเราไม่ได้ทำอะไรให้เป็นเรื่องที่รุนแรง ขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ มุมของกองทัพ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา และไม่น่าเลวร้ายอย่างที่เขาคาดการณ์ที่จะต้องการให้เป็นคงไม่เป็นแบบนั้น
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ุดท้ายมาหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องห่วงคงไม่มีประเด็นปัญหาที่ต้องห่วงใย ทางกองทัพ และ ตำรวจ ติดตามดูแลสถานการณ์อยู่แล้ว และทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ ไม่ทำให้เป็นประเด็นปัญหา หรือทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศขึ้นมา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่นำกำลังทหารออกมาแก้ไขปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมืองด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ยืนยันเต็มที่ว่ากองทัพไม่มีความคิดที่จะนำกำลังทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติในการแก้ไขปัญหา เรื่องการเมืองก็ฝ่ายการเมืองจะต้องแก้ไขปัญหาเอง ทั้งนี้คิดว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ประชาชนอยากจะเห็นความสงบสุข ของชาติบ้านเมืองมากกว่า ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือรุนแรงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ หรือทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมามันคงไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงหรือไมว่าอดีตนายทหารเก่าที่ร่วมอยู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จะก่อเหตุรุนแรงขึ้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.กอ.รมน. ตนไม่ขอวิจารณ์ ต้องไปดูความคิดของท่านเอง ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีความกังวล ส่วนทหารที่เข้าไปอยู่พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ท่านก็ไม่ได้มีสิ่งอะไรที่ต้องการจะทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เพียงแต่เข้าไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ด้วยการชักชวนของพรรค์พวกมากกว่า ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น โดยพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำตัก รมว.กลาโหม เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับท่าน ไม่มีความคิดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม ไม่มีประเด็นปัญหาที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้งนี้หากเข้าใจ สถานการณ์ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างมีสติ
ต่อข้อถามว่าเกรงหรือไม่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้หลักจิตวิทยากดดันศาล เพื่อพิพากษาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ศาลเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งที่เป็นสถาบันที่จะต้องเป็นหลัก ตนไม่เชื่อว่าจะมีแรงกดดันทำให้ศาลมีปัญหาในการพิจารณา การตัดสินคดีความต่าง ๆท่านจะต้องตัดสินบนพื้นฐาน ความถูกต้องเป็นธรรมคงไม่ต้องห่วงอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 ม.ค.) นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองและนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้ายื่นหนังสือกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ที่ดำเนินการล่าช้าจากการที่ ประชาชนจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันเข้าชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานความเป็นธรรม หรือฎีการ้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นการกระทำ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่สำนักราชเลขาธิการ ได้แจ้ง อันเป็นการกระทำความผิดหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ม.171,178 และ191 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.261 โดยถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและประชาชนฃ
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (20 ม.ค.) เวลา 13.00 น. แกนนำนปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงจะเดินทางไปสอบถามความคืบหน้ากับนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง
ด้านนายธาริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ และจะได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอทำงานด้วยความตรงไป ตรงมาตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย
ทั้งนี้ช่วงเวลา 10 วันอันตราย มีสถานที่ที่จะต้องเฝ้าระวังและอาจเป็นจุดล่อแหลมของการชุมนุม 10 จุด คือ 1. ทำเนียบรัฐบาล 2. รัฐสภา 3. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 4. สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง 5. ทำเนียบองคมนตรี 6. บ้านสี่เสาเทเวศร์ 7 ที่ทำการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และบ้านพักกกต.ทั้ง 5 คน 8. ที่ทำการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) และบ้านพักของ กรรมการ ปปช. 9. กระทรวงทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ 10. กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ
สำหรับ 3 จุดแรกถือเป็นตัวแทนของศาลอำนาจอธิปไตย เชื่อว่าถ้ากลุ่ม คนเหล่านี้ปิดล้อมและสามารถยึดได้ นั่นคือเป้าหมายที่คนเสื้อแดงพยายามสร้างกระแสเรื่องการปฏิวัติประชาชน และสถาปนารัฐไทยใหม่ ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศไว้ ส่วนจุดล่อแหลมที่ 4-6 นั้น ตนคิดว่า เป็นการต่อสู้กับองค์กรเหล่านี้ เพราะองค์กรเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง
อย่างไรก็ตามตนคิดว่า หากสถานการณ์รุนแรง จุดที่น่าจับตามมอง คือการชุมนุนมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอาจจะเป็นการเอาอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้
นายเทพไท กล่าวว่า กว่าจะถึง 10 วันอัตราย เชื่อว่าจะมีการชุมนุมของ คนเสื้อแดงในสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างกระแส เพื่อชิมลางทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่เขายายเที่ยง และการประกาศชุมนุมที่เขาสอยดาว รวมถึงการที่บอกว่าจะไปชุมนุมที่สนามกอล์ฟ จ.เชียงใหม่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่า เป็นการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ แต่คนเสื้อแดงบอกว่าเป็นการชุมนุมเชิงสันทนาการ คือ ลักษณะสังสรรค์มากว่าที่จะเอาจริงเอาจังทางการเมือง
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่มีนายทหารจำนวนหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพียงการสร้าง กระแส เพื่อการันตี ความจงรักภักดี ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ การทำการเมืองเชิงการตลาด ตามแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้นายทหารนอก ประจำการ มาเป็นสมาชิกในลักษณะขายตรง ที่ต่อไปอาจจะมีการขยายวงจนถึงระดับพลทหาร หรือทหารเกณฑ์
ผมเชื่อว่าทหารประจำการที่อยู่ในหน้าที่ ยังคงมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และยังคงเป็นนายทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีใครคิดเป็นอื่น อย่างแน่นอน สถาบันทหาร คงไม่มีใครคิดเปลี่ยนใจเหมือนนายทหารนอกประจำการบางคน ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวตื่นเต้นกับข่าวลักษณะเช่นนี้ เชื่อว่าจะมีข่าวลักษณะนี้ออกมาอีก
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหว ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการเดินทางเพื่อทวงถามความคืบหน้าการถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้ง ๆ ที่ได้เสนอขึ้นไปแล้วควรรอให้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาก่อนหรือไม่ว่า คงเป็นอย่างที่สื่อมวลชนถาม ความถูกต้องก็จะต้องรอในการตรวจสอบ ส่วนการเคลื่อนไหวกลุ่มเสื้อแดงในกดดันสถาบันองคมนตรี และ สำนักราชเลขาธิการนั้น คงพยายามจุดประเด็นเพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เป็นสิ่งที่เขาพยายามดำเนินการเพื่อให้เป็นประเด็นปัญหา ในส่วนของกองทัพคงติดตามการเคลื่อนไหวเท่านั้น ทั้งนี้ คงไม่มีปัญหาอะไร หากไม่มีการดำเนินการอะไรที่เป็นประเด็นและเกิดปัญหาขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าใกล้ถึงวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเกิดความรุนแรงนั้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า คงจะเป็นการวางแผนของเขา แต่ทางกองทัพก็คงติดตามความเคลื่อนไหว คงไม่ได้ทำอะไร ส่วนที่ที่มีการระบุว่าระหว่างวันที่ 16-26 ก.พ.2553 เป็นช่วง 10 วันอันตรายนั้นตน ไม่ได้มองว่าเป็นอันตราย หากเราไม่ได้ทำอะไรให้เป็นเรื่องที่รุนแรง ขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ มุมของกองทัพ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา และไม่น่าเลวร้ายอย่างที่เขาคาดการณ์ที่จะต้องการให้เป็นคงไม่เป็นแบบนั้น
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ุดท้ายมาหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องห่วงคงไม่มีประเด็นปัญหาที่ต้องห่วงใย ทางกองทัพ และ ตำรวจ ติดตามดูแลสถานการณ์อยู่แล้ว และทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ ไม่ทำให้เป็นประเด็นปัญหา หรือทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศขึ้นมา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่นำกำลังทหารออกมาแก้ไขปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมืองด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ยืนยันเต็มที่ว่ากองทัพไม่มีความคิดที่จะนำกำลังทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติในการแก้ไขปัญหา เรื่องการเมืองก็ฝ่ายการเมืองจะต้องแก้ไขปัญหาเอง ทั้งนี้คิดว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ประชาชนอยากจะเห็นความสงบสุข ของชาติบ้านเมืองมากกว่า ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือรุนแรงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ หรือทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมามันคงไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงหรือไมว่าอดีตนายทหารเก่าที่ร่วมอยู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จะก่อเหตุรุนแรงขึ้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.กอ.รมน. ตนไม่ขอวิจารณ์ ต้องไปดูความคิดของท่านเอง ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีความกังวล ส่วนทหารที่เข้าไปอยู่พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ท่านก็ไม่ได้มีสิ่งอะไรที่ต้องการจะทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เพียงแต่เข้าไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ด้วยการชักชวนของพรรค์พวกมากกว่า ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น โดยพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำตัก รมว.กลาโหม เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับท่าน ไม่มีความคิดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม ไม่มีประเด็นปัญหาที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้งนี้หากเข้าใจ สถานการณ์ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างมีสติ
ต่อข้อถามว่าเกรงหรือไม่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้หลักจิตวิทยากดดันศาล เพื่อพิพากษาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ศาลเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งที่เป็นสถาบันที่จะต้องเป็นหลัก ตนไม่เชื่อว่าจะมีแรงกดดันทำให้ศาลมีปัญหาในการพิจารณา การตัดสินคดีความต่าง ๆท่านจะต้องตัดสินบนพื้นฐาน ความถูกต้องเป็นธรรมคงไม่ต้องห่วงอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 ม.ค.) นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองและนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้ายื่นหนังสือกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ที่ดำเนินการล่าช้าจากการที่ ประชาชนจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันเข้าชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานความเป็นธรรม หรือฎีการ้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นการกระทำ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่สำนักราชเลขาธิการ ได้แจ้ง อันเป็นการกระทำความผิดหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ม.171,178 และ191 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.261 โดยถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและประชาชนฃ
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (20 ม.ค.) เวลา 13.00 น. แกนนำนปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงจะเดินทางไปสอบถามความคืบหน้ากับนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง
ด้านนายธาริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ และจะได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอทำงานด้วยความตรงไป ตรงมาตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย