xs
xsm
sm
md
lg

YLGตั้งเป้ายอดขายทองแท่ง1.6แสนล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG เปิดเผยถึงแผนงานบริษัทว่าปีที่ผ่านมาแม้ร้านทองคำบางรายจะปิดตัวลงตามความผันผวนของราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง แต่ยอดขายบริษัทยังเติบโตเพิ่มขึ้น 25% โดยอยู่ที่ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท หรือ 120 ล้านตันจากปี 51 ซึ่งอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากเมื่อครั้งก่อตั้งบริษัท (ปี 46) ซึ่งมียอดขายเพียง 2,500 ล้านบาท ดังนั้นปีนี้ บริษัทจึงตั้งเป้ายอดค้าส่งทองคำแท่งไว้ที่ 170 ล้านตัว เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันที่มีถึง 55 – 60%
ทั้งนี้ บริษัทจึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นการนำเข้าทองคำแท่ง 96.5% ขนาดน้ำหนัก 10 บาทจากเพิร์ธมินต์ (ประเทศออสเตรเลีย) ที่ได้รับความเชื่อจากผู้ค้าและผู้ลงทุนทองคำทั่วโลก เข้าทำตลาดในเมืองไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกระดับ โดยบริษัทฯ จะกำหนดการซื้อขายขั้นต่ำที่น้ำหนัก 30 บาท ซึ่งจะใช้หลักสากลโดยอ้างอิงจากราคา spot และอัตราแลกเปลี่ยน โดยแปลงจาก 99.99% เป็น 96.5% เปรียบเทียบจากรอยเตอร์
" การนำเข้าทองคำ 96.5% จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการร้านทองรายย่อยในการช่วยลดขั้นตอนการแปรสภาพทองคำจาก 99.99% เป็น 96.5% เพื่อใช้ในการผลิตทองรูปพรรณ อีกทั้งทองคำที่นำเข้ามีมาตรฐานสากลโดยได้รับการรับรองจาก LBMA (London Bullion Market Association ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก อีกทั้ง YLG ยังเปิดซื้อ-ขายทองคำแท่ง ทั้ง 99.99% และ 96.5% โดยไม่จำกัดปริมาณ ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อซื้อหรือขายกับทางบริษัทได้โดยตรงทุกวันทำการ โดยมีบริการระบบหักบัญชีอัตโนมัติในการซื้อขาย "

**ประเมินทองปีนี้สูงสุด1,300 เหรียญ**
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกปีนี้นางพวรรณ์กล่าวอ้างอิงถึงผลวิจัยของสถาบันเหมืองทองทั่วโลก (GFMF) ว่า ราคาทองเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 1,172 เหรียญ/ออนซ์ โดยกรอบการเคลื่อนไหวทั้งปีช่วง 1,000-1,340 เหรียญ/ออนซ์ นับเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัดกว่าเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะตลาดไม่มีปัจจัยใหม่ที่โดดเด่น จนผลักดันราคาทองคำให้เคลื่อนไหวรุนแรง อีกทั้งนักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาซื้อขายทองคำจากปัจจัยรายวันมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจลงทุนต้องติดตามภาวะของตลาดทองคำขนาดใหญ่อย่างอังกฤษ สหรัฐฯ และจีน หากมีข่าวจากประเทศเหล่านี้ ยอมรับว่าจะทำให้ราคาทองคำมีความผันผวนรุนแรง โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้จึง แนะนำให้ " รอซื้อเมื่อราคาอ่อน " ตัวมาบริเวณ 1,100 เหรียญ/ออนซ์ และรอขายทำกำไรเมื่อราคาสูงขึ้น โดยสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,300 เหรียญ/ออนซ์

**หวังโกยมาร์เกตแชร์ทองกระดาษเท่าตัว**
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารYLG กล่าวว่า ตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์แม้จะเพิ่งเปิดการซื้อขายเมื่อก.พ.ปี 52 ซึ่งมีปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 300 สัญญา/วัน แต่เมื่อสิ้น ธ.ค.52 พบว่ามีปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 3,500 – 3,800 สัญญา/วัน หรือเติบโต 900% ส่วนธุรกิจของบริษัท แม้จะไม่ทำรายได้เท่ากับการนำเข้าและส่งออกทองคำแท่ง แต่ก็เติบโตเร็วมาก จากวันแรกที่เริ่มเทรด มี.ค.ปี 52 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยไม่เกิน 100 สัญญา/วัน ก็เพิ่มเป็นวันละ 500-800 สัญญาในสิ้นปี หรือโตกว่า 8 เท่าตัว โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 10%
ทำให้ปีนี้ YLG เชื่อว่าตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งเป้าที่ขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น เพื่อจะมียอดซื้อขายเฉลี่ยวันละให้ไม่ต่ำกว่า 800-1,500 สัญญา หรือมีส่วนแบ่งตลาด 20% อีกทั้งมีแผนจะเพิ่ม Selling Agent หรือ SA มากขึ้นจากเดิม 22 ราย เป็น 50 รายในปีนี้ แต่จะเน้น SA ที่มีขนาดใหญ่ในแต่ละภูมิภาค
" ปัจจุบันเรามีลูกค้าที่เปิดบัญชีด้วย 600 บัญชี ซึ่งมีลูกค้าใหม่ทยอยมาใช้บริการเราอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากความสนใจลงทุนใน
มินิโกลด์ ฟิวเจอร์ส ขนาด 10 บาทที่ถูกเลื่อนเทรดออกไป กว่า 40 -50 บัญชี อีกทั้งรายได้จากคำสั่งซื้อขายของSA ก็ปรับตัวดีขึ้น 20%ของรายได้ทั้งหมด จึงสนใจขยาย SA ให้เข้าลูกค้าเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ เพราะเรามองว่าโกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม และเติบโตเร็วที่สุดในตลาดอนุพันธ์ โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 27 % ของตราสารทั้งหมดที่เทรดอยู่ "
สำหรับการลื่อนเทรดมินิโกลด์ ฟิวเจอร์สว่ายอมรับมีผลกระทบกับบริษัทแต่ในทางตรงข้ามกลับมีข้อดีคือให้ลูกค้าได้มีเวลาศึกษาและทำความเข้าใจกับโปรดักส์ใหม่เพิ่มขึ้น และจากการพูดคุยกับ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) ได้ข้อสรุปว่าใน 1- 2 สัปดาห์ หน้าจะมีการพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปและกำหนดวันเทรดมินิโกลด์ ฟิวเจอร์สให้ชัดเจนขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น