นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เเถลงข่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ตนได้แจ้งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ให้ทราบถึงคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจไปกลับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ได้ ดังนั้น การที่ ก.ตร.มีมติเห็นแย้งความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.ภ. 4 และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีต ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ในความผิดคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551นั้นทำไม่ได้ ซึ่งเข้าใจว่า นายสุเทพได้ส่งเรื่อง ให้ทาง ก.ตร. แล้ว เพราะฉะนั้นคงจะมีการประชุม ก.ตร.อีกครั้งหนึ่ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าปัญหาข้อกฎหมายของ ป.ป.ช.และ ก.ตร.ที่ต่างกันนั้น ตนเข้าใจว่ามีข้อยุติไปนานแล้ว ข้อยุติที่ว่าคือกฎหมาย ป.ป.ช.บอกไว้ว่ากระบวนการการอุทธรณ์ตามกฎหมายการบริหารงานบุคคลให้อุทธรณ์ ได้เฉพาะดุลพินิจในการสั่งลงโทษไม่ได้ไปเปิดช่องให้ไปอุทธรณ์ในเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นแม้ ก.ตร.หรือใครก็ตามจะเห็นไม่ตรงกับทาง ป.ป.ช.ในเรื่องข้อเท็จจริง หรือเนื้อหาสาระของการสอบส่วนก็ไม่สามารถไปกลับความคิดเห็นของ ป.ป.ช.ได้
อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ก็ยังมีช่องทาง ในการต่อสู้ในชั้นของศาลปกครองเพื่อความเป็นธรรม แนวทางดังกล่าวเป็นแนวทาง ที่ปฏิบัติกนมาตลอด ผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะมิฉะนั้น ป.ป.ช.จะมีความรู้สึกว่าความเป็นองค์กรอิสระแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย กลายเป็นเพียงคณะกรรมการสอบสวนตามกฎหมายของทางราชการ ที่สามารถถูกพลิกมติได้ ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นการวินิจฉัยของศาลปกครอง ป.ป.ช. ต้องยอมรับ เพราะตรงนั้นคือระบบศาล และเป็นระบบขององค์กรอิสระด้วย ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากก.ตร.ยืนยันในมติเดิมนายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคงจะเป็นมติที่ขัดต่อกฎหมายและคงทำไม่ได้ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีมติ ก.ตร.ที่ขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นมาถึงนายกรัฐมนตรีว่า ไม่สามารถทำได้ นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้ตนดำเนินการแก้ไข ตนจึงได้สั่งให้พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร.ในวันศุกร์นี้
ด้าน นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงการประชุมกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ในวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การประชุมยังไม่มีการนำเรื่องที่ ก.ตร. มีมติขัดแย้งกับความเห็นของป.ป.ช. กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ,พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว และพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ที่มติป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง จากเหตุสลายการการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยให้นายตำรวจทั้ง 3 นายออกจากราชการ แต่มติก.ตร.กลับเห็นว่านายตำรวจทั้ง 3 ไม่มีความผิด และยังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้คืนตำแหน่งราชการดังเดิม แต่ขณะนี้ป.ป.ช. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการ ป.ป.ช.ทำหนังสือถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นประธานก.ตร. เพื่อขอดูเอกสารสำเนามติในการพิจารณา ข้อเท็จจริงของ ก.ตร.ในเรื่องดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาในการประชุมต่อไป
ด้าน น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่าในการประชุม ป.ป.ช.เห็นว่ากรณีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการกลับมติของ ป.ป.ช.ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงานเลขาธิการ ป.ป.ช.ทำหนังสือสอบถามไปยังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และสอบถามไปยัง ก.ตร.ด้วย เพื่อขอสำเนามติอย่างเป็น ทางการ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช.ชุดใหญ่อีกครั้ง
น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า หาก ป.ป.ช.ได้รับหนังสือตอบกลับมาโดยเร็ว จะเรียกประชุมนัดพิเศษในทันที
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าปัญหาข้อกฎหมายของ ป.ป.ช.และ ก.ตร.ที่ต่างกันนั้น ตนเข้าใจว่ามีข้อยุติไปนานแล้ว ข้อยุติที่ว่าคือกฎหมาย ป.ป.ช.บอกไว้ว่ากระบวนการการอุทธรณ์ตามกฎหมายการบริหารงานบุคคลให้อุทธรณ์ ได้เฉพาะดุลพินิจในการสั่งลงโทษไม่ได้ไปเปิดช่องให้ไปอุทธรณ์ในเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นแม้ ก.ตร.หรือใครก็ตามจะเห็นไม่ตรงกับทาง ป.ป.ช.ในเรื่องข้อเท็จจริง หรือเนื้อหาสาระของการสอบส่วนก็ไม่สามารถไปกลับความคิดเห็นของ ป.ป.ช.ได้
อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ก็ยังมีช่องทาง ในการต่อสู้ในชั้นของศาลปกครองเพื่อความเป็นธรรม แนวทางดังกล่าวเป็นแนวทาง ที่ปฏิบัติกนมาตลอด ผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะมิฉะนั้น ป.ป.ช.จะมีความรู้สึกว่าความเป็นองค์กรอิสระแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย กลายเป็นเพียงคณะกรรมการสอบสวนตามกฎหมายของทางราชการ ที่สามารถถูกพลิกมติได้ ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นการวินิจฉัยของศาลปกครอง ป.ป.ช. ต้องยอมรับ เพราะตรงนั้นคือระบบศาล และเป็นระบบขององค์กรอิสระด้วย ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากก.ตร.ยืนยันในมติเดิมนายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคงจะเป็นมติที่ขัดต่อกฎหมายและคงทำไม่ได้ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีมติ ก.ตร.ที่ขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นมาถึงนายกรัฐมนตรีว่า ไม่สามารถทำได้ นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้ตนดำเนินการแก้ไข ตนจึงได้สั่งให้พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร.ในวันศุกร์นี้
ด้าน นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงการประชุมกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ในวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การประชุมยังไม่มีการนำเรื่องที่ ก.ตร. มีมติขัดแย้งกับความเห็นของป.ป.ช. กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ,พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว และพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ที่มติป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง จากเหตุสลายการการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยให้นายตำรวจทั้ง 3 นายออกจากราชการ แต่มติก.ตร.กลับเห็นว่านายตำรวจทั้ง 3 ไม่มีความผิด และยังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้คืนตำแหน่งราชการดังเดิม แต่ขณะนี้ป.ป.ช. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการ ป.ป.ช.ทำหนังสือถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นประธานก.ตร. เพื่อขอดูเอกสารสำเนามติในการพิจารณา ข้อเท็จจริงของ ก.ตร.ในเรื่องดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาในการประชุมต่อไป
ด้าน น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่าในการประชุม ป.ป.ช.เห็นว่ากรณีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการกลับมติของ ป.ป.ช.ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงานเลขาธิการ ป.ป.ช.ทำหนังสือสอบถามไปยังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และสอบถามไปยัง ก.ตร.ด้วย เพื่อขอสำเนามติอย่างเป็น ทางการ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช.ชุดใหญ่อีกครั้ง
น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า หาก ป.ป.ช.ได้รับหนังสือตอบกลับมาโดยเร็ว จะเรียกประชุมนัดพิเศษในทันที
