ชัยภูมิ - “โชวห่วย” เมืองเจ้าพ่อพญาแลวิกฤตหนัก เผยห้างยักษ์ใหญ่ทุนข้ามชาติ “เทสโก้ โลตัส- บิ๊กซี-แม็คโคร”แห่เข้ายึดหัวหาด ซ้ำร้าย “คาร์ฟูร์”จ่อผุดอีกคาดผูกขาดเบ็ดเสร็จยกเมือง จวก“นายกฯมาร์ค” ไร้ความจริงใจช่วยโชวห่วยแถมลากยาวยื้อคลอด“พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ”เผยเถ้าแก่หมดหวังพึ่งภาครัฐ ซัดนักการเมือง“ปชป.”เอี่ยวผลประโยชน์ทุนใหญ่ค้าปลีกและรับเหมาสร้างห้างฯยักษ์
นายยรรยง เสรีรัตน์ ประธานชมรมผู้ประกอบการค้าปลีก-ส่งจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจการค้าปลีกของผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยท้องถิ่น(โชวห่วย) จ.ชัยภูมิในภาพรวมขณะนี้ ถือว่าอยู่ในภาวะเลวร้ายเข้าสู่ขั้นวิกฤตและรอวันระเบิดครั้งใหญ่ของปัญหา เนื่องจากในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้มีห้างยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-ค้าส่งทุนข้ามชาติพาเหรดเข้ามาเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง และได้ย่อขนาดลงแล้วรุกกระจายเข้าไปยึดครองชุมชนต่างๆ ในระดับอำเภอ
ทุนใหญ่แห่ยึดหัวหาดผูกขาดเบ็ดเสร็จ
ล่าสุดชัยภูมิซึ่งเป็นจังหวัดขนาดไม่ใหญ่มีประชากรประมาณ 1 ล้านคนเศษ แต่มีห้างใหญ่ค้าปลีกขนาดพื้นที่ร่วม 1 หมื่นตารางเมตร(ตรม.)เข้ามาเปิดกิจการแล้ว 3 แห่ง คือ “เทสโก้ โลตัส” ยึดทำเลทองใจกลางเมืองชัยภูมิ และ“บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ตั้งอยู่เขตรอยต่อเทศบาลเมืองชัยภูมิ รวมทั้ง“แม็คโคร”ยักษ์ใหญ่ค้าส่งอยู่บริเวณใกล้กัน และมีข่าวว่า “คาร์ฟูร์”จะเข้ามาเปิดกิจการในเร็วๆ นี้
นั่นหมายความว่าในอนาคตอันใกล้ชัยภูมิจะมีห้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่เปิดพร้อมกันถึง 4 แห่ง ซึ่งโดยศักยภาพแล้วสามารถผูกขาดธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งมูลค่ารวมหลายพันล้านได้เบ็ดเสร็จทั้งจังหวัด
นอกจากนี้ ที่สำคัญห้างทุนข้ามชาติอย่าง เทสโก้ โลตัส ได้รุกเข้าไปเปิดกิจการสาขาในระดับชุมชนตามอำเภอหัวเมืองต่างๆ ในรูปแบบของ “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” อีกจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนแล้วที่จะประเดิมเปิดสาขาเอ็กซ์เพรส 3 แห่ง ที่ อ.ภูเขียว อ.จัตุรัส อ.บ้านเขว้า และจะขยายไปยังพื้นที่อื่นอีกหลายอำเภอ
ทั้งนี้เชื่อว่ากลุ่มทุนค้าปลีก-ส่งรายใหญ่เหล่านี้มองเห็น จ.ชัยภูมิ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะเป็นชุมทางศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมได้รอบทิศหลายจังหวัดทั้งภาคกลาง เหนือ และภาคอีสาน ดังนั้น จึงได้พากันแห่บุกเข้ายึดหัวหาดเอาไว้ก่อน
ขณะนี้ห้างค้าปลีกข้ามชาติ ที่ จ.ชัยภูมิ เริ่มงัดกลยุทธ์ความได้เปรียบด้วยทุนใหญ่ที่เหนือกว่าบีบคั้นผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ปรับเวลาเปิดห้างให้เปิดเร็วขึ้นและปิดช้าลง เช่น เปิด 08.00 น. ปิด 23.00 น. และ ในช่วงปีใหม่ได้เปลี่ยนมา เปิด 06.00 น. ปิด 24.00 น. ชนิดที่เรียกว่าไม่ยอมเปิดโอกาสโชวห่วยอยู่รอดได้หรือขายสินค้าได้เลย
“สถานการณ์เลวร้ายนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายที่พวกเราพยายามดิ้นรนต่อสู้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังยืนยันว่าการเปิดห้างยักษ์ใหญ่เหล่านี้ดำเนินการขัดต่อกฎหมายผังเมือง แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้ในชั้นศาล ทั้งกรณีห้างแม็คโคร ศาลปกครองชี้ว่าเราไม่ใช่ผู้เสียหาย ทำให้กระบวนการศาลไม่ได้ก้าวไปสู่ขั้นวินิจฉัยว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ส่วนคดีห้างบิ๊กซี ศาลปกครองก็ชี้ไปในทำนองเดียวกัน ซึ่งเราได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว” นายยรรยง กล่าว
เงินไหลออกไม่หยุดศก.ท้องถิ่นพังทั้งระบบ
นายยรรยง กล่าวต่อว่า ปัญหาผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะโชวห่วย ซึ่งเป็นเหยื่อรายแรกๆ เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วได้ส่งผลกระทบกับทุกภาคเศรษฐกิจในท้องถิ่นทั้งระบบ เพราะปัญหาใหญ่คือเงินได้ไหลออกจากชุมชนท้องถิ่นไม่หยุด ซึ่งปกติการค้าขาย การพัฒนาสังคมมันต้องมีเงินหมุนเวียนอยู่ในชุมชนถึงพัฒนาเติบโตได้
แม้แต่รัฐบาลเองที่อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ เช่น การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โครงการ SMLหรือ โครงการชุมชนพอเพียงและกองทุนหมู่บ้าน ด้านหนึ่งก็เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในชุมชน และเกิดการสร้างงานพึ่งตนเองได้ แต่เงินกลับไปกระจุกที่ห้างค้าปลีกข้ามชาติเหล่านี้ แล้วไหลออกจากประเทศ ปริมาณเงินท้องถิ่นจึงน้อยลงๆ ตลอดเวลา
“ในต่างประเทศมีงานวิจัยชัดเจนว่า การเปิดกิจการโมเดิร์นเทรดหรือห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โดยไม่มีกฎระเบียบ กฎหมายรองรับที่แน่ชัดจะนำไปสู่การหดตัวของเศรษฐกิจชุมชน ฉะนั้นถึงแม้รัฐบาลจะพยายามขนาดไหนแต่เมื่อมันเกิดภาวะเงินไหลออกไม่หยุดทำนองนี้ ก็ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้มแข็งอย่างเดิมได้อีก”นายยรรยง กล่าว
หมดหวัง“มาร์ค”ไม่แยแสโชวห่วย-ยื้อกม.ค้าปลีก
นายยรรยง กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี มีการเสนอออกพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ซึ่งสภาฯได้ผ่านวาระแรกและรับหลักการ แต่สิ้นรัฐบาลสุรยุทธ์ ทำให้การเสนอกฎหมายในวาระ 2,3 ไม่ได้เกิดขึ้น พอมายุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่ตระหนักต่อปัญหานี้และไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหาช่วยเหลือโชวห่วยเลย
แต่กลับเล่นเกมยื้อเวลาการออก พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ออกไป โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ที่ผ่านมามีมติรับแค่หลักการเมืองเท่านั้นและไม่มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญๆ อะไรเลย ซึ่งถือว่าสอบตกในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
ทั้งที่รัฐบาลทราบดีว่าธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 6 ของ GDP ประเทศ มีผู้ประกอบการเกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคนและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนคนไทยเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่กฎหมายกำกับดูแลควบคุมการแข่งขันให้เป็นธรรมหรือมีความสมดุลเลยทำให้มีรายใหญ่ผูกขาดอยู่เพียง 5-6 ราย และปล่อยให้รายเล็กล้มหายตายจากไปตามยถากรรม
“ผู้ประกอบการโชวห่วยทั้งหลายต่างหมดหวังกับการพึ่งพาภาคราชการและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้หรือที่ผ่านมาก็ตาม เพราะล้วนเป็นการเมืองที่อิงอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาด จึงไม่มีทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันที่ไม่จริงใจแก้ปัญหาเพราะบางคนมีผลประโยชน์ในกลุ่มทุนค้าปลีกรายใหญ่และบางกลุ่มเกี่ยวข้องกับการรับเหมาก่อสร้างห้างเหล่านี้ ดังนั้นกลุ่มโชวห่วยเราต้องรวมตัวกันเพื่อพึ่งตนเองและต้องต่อสู้ในระดับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองใหม่ให้ได้”นายยรรยง กล่าว