ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีกันในสัปดาห์หน้านี้ คงเหลือแต่ว่าจะปรับกันอย่างไร คือจะปรับกันเฉพาะภายในของพรรคประชาธิปัตย์ หรือว่าจะปรับไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
ความจริงอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะ และเมื่อใดก็ตามถ้านายกรัฐมนตรีเป็นที่ยำเกรงนับถือหรือมีอำนาจจริงๆ ก็จะไม่มีใครกล้าหือในการปรับคณะรัฐมนตรี
จะมีแต่เสียงพูดว่า เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หรือไม่ก็มีเสียงว่าไม่ติดยึดในตำแหน่ง สุดแท้แต่นายกรัฐมนตรีจะกรุณา
ดังนั้นการจะดูว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจจริงหรือไม่จริง หรือว่ามีน้ำยาหรือไม่ ก็ให้ฟังเสียงที่เกี่ยวข้องในกรณีมีข่าวว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีก็จะเห็นได้ชัด
การจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันนี้เหมือนกับการเล่นหมากกลางกระดาน คือเป็นการจัดตั้งจากการจัดการของคนอื่นหลังจากรัฐบาลก่อนพ้นจากตำแหน่ง การเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้มาด้วยการจัดการของคนอื่น ดังนั้นแม้นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้โดยลำพัง
หลายครั้งหลายหนที่ผ่านมา แม้นายกรัฐมนตรีมีทีท่าว่าอยากจะปรับคณะรัฐมนตรีก็จะมีเสียงท้วงในเชิงขวาง หรือถ้าพูดแบบชาวบ้านก็ว่ามีคนมองด้วยสายตาแบบตาเขียวปัดๆ หรือไม่ก็พูดว่าคณะรัฐมนตรีทำงานดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ไม่มีการทุจริต ไม่ต้องปรับคณะรัฐมนตรี
เสียงแบบนี้คนที่คุ้นเคยในวงการเมืองก็จะคุ้นเสียงว่าเป็นเสียงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และเสียงนี้แหละที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องรอรีรั้งรอไม่สามารถปรับคณะรัฐมนตรีได้
แต่ทว่าความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งปวงจากการกระทำของคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าข้อครหาเรื่องการกินสินบาทคาดสินบน การปล้นชาติปล้นประชาชน การใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ และความไร้น้ำยาในการบริหาร หรือการเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม ซึ่งจะต้องได้รับการจัดการแก้ไขนั้น ไม่ได้อยู่ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่อยู่ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นเสียงป่าวร้องก่นด่าประดุจห่ากระสุนตกจึงไปลงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเมื่อมีเรื่องราวใดๆ ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น นอกจากสื่อและผู้คนจะด่าคนทำผิดคิดชั่วแล้ว ในที่สุดก็จะจบการด่าลงตรงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสมอ
และก็เป็นธรรมดาของหมู่บ้านกระสุนตก ย่อมไปถูกคนอื่นที่แวดล้อมใกล้ชิดอยู่ด้วย ไม่ว่าในส่วนตัวคือพ่อแม่ลูกเมีย หรือในส่วนพรรคก็ไปถูกผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคจนเปรอะเปื้อนไปด้วยกันหมด
การเปรอะเปื้อนนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงที่ทำให้ผู้คนชอกช้ำระกำใจก็คือ การย่ำยีจิตใจประชาชนของนักการเมืองชั่วบางคน ที่แต่ละวันก็คิดแต่จะปล้นชาติ ปล้นประชาชน ทำร้ายบ้านเมือง ซึ่งไม่ต้องเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร คนไทยก็ย่อมรู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง
คนชั่วเหล่านี้ฮึกเหิมลำพอง ไม่เห็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในสายตา อาจเพราะคิดว่ามีคนคอยเป็นเกราะคุ้มกันให้ก็ได้ ดังนั้นจึงแทนที่จะบันยะบันยัง กลับเดินหน้าโกงบ้านโกงเมือง ทำร้ายชาติบ้านเมืองต่อไปไม่หยุดยั้ง
เพราะเหตุนี้บ้านเมืองจึงย่อยยับอับจน มีความไม่ปกติสุขเกิดขึ้นโดยทั่วไป ทำให้คนไทยทุกหมู่ทุกเหล่าต้องทุกข์ตรมขมขื่นไปตามๆ กัน
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัสตอบการถวายพระพรของทุกสถาบันว่า พระองค์จะเป็นสุขได้ก็เพราะบ้านเมืองมีความเจริญและเป็นปกติสุข
เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่จะต้องทำและปฏิบัติอย่างเต็มกำลังเพื่อให้บ้านเมืองมีความเจริญและเป็นปกติสุข ซึ่งปมเงื่อนสำคัญก็คือการส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมืองและการป้องกันขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมือง
รวมไปถึงการกำจัดคนไม่ดีที่มีอำนาจอยู่ในบ้านเมืองให้พ้นออกไปเสียจากอำนาจ เพื่อจะได้ไม่ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมืองและทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุข ทำให้กลไกรัฐทั้งหลายทั้งปวงเดินไปตามหนทางที่ถูกต้องได้
ดังนั้นการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จึงเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องตัดสินใจในครั้งสำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอง ตลอดจนอนาคตของประเทศชาติและประชาชนด้วย
นั่นคือจะต้องตัดสินใจว่าจะทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขและเจริญรุ่งเรือง หรือว่าจะยอมจำนนให้บ้านเมืองเป็นกลียุค เต็มไปด้วยการโกงบ้านกินเมืองจนเสื่อมโทรมและสิ้นสลายไปในที่สุด
ไม่ต้องตอบก็คาดหมายได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องเลือกเอาในทางที่จะทำการสนองพระเดชพระคุณให้บังเกิดผลดีที่สุดแก่บ้านเมือง
แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะนักการเมืองชั่วช้าสารเลวนั้น เมื่อมีอำนาจแล้ว หากปลดออกไปก็จะป่วนรัฐบาลจนล่มสลายลงก็ได้ แต่ถ้าหากปล่อยให้มีอำนาจต่อไปก็จะโกงบ้านโกงเมืองและต้องล่มสลายลงไปเหมือนกัน
บทเรียนในการปล่อยให้นักการเมืองโกงชาติทำร้ายบ้านเมืองอยู่ในอำนาจ และจะต้องล่มสลายลงในที่สุดนั้นมีบทเรียนมากมาย และบทเรียนที่เกิดขึ้นในระยะใกล้ที่สุดก็คือ บทเรียนของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
ดังนั้นถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยอมจำนนเพราะความติดยึดในอำนาจวาสนาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยินยอมให้นักการเมืองชั่วช้าสารเลวอยู่ในอำนาจ ในที่สุดทั้งรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะต้องล้มครืนลงไป เช่นเดียวกับบทเรียนที่ปรากฏให้เห็นมาแล้วนั่นเอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนักการเมืองมือเก๋า มีอำนาจและมีพลังต่างๆ ขนาดไหน ยังไม่อาจทานทนอยู่ได้ สำมะหาอะไรกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถ้าหากกระทำกรรมซ้ำรอยกันแล้ว จะไม่ได้รับวิบากกรรมเช่นเดียวกัน
ดังนั้นหนทางการปล่อยให้นักการเมืองชั่วช้าสารเลวมีอำนาจในบ้านเมืองเพื่อจะล่มสลายไปด้วยกันนั้นจึงไม่ใช่หนทางอันเกษม
จึงคงเหลือหนทางอีกสายหนึ่ง คือการกำจัดคนไม่ดีออกจากอำนาจ ไม่ให้ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ซึ่งจะต้องเสี่ยงกับการป่วนและการล้มรัฐบาลที่อาจจะเกิดขึ้น
ดังนั้นในการตัดสินใจในเรื่องนี้ จึงต้องปลุกขวัญกำลังใจตนเองให้มีความกล้าหาญ ให้มีความเด็ดขาด และมีคุณธรรมที่เต็มเปี่ยม เพราะธรรมเหล่านี้จักคุ้มครองป้องกันมิให้ได้รับอันตรายและประสพความสวัสดีในที่ทั้งปวง แม้จะเผชิญกับอันตรายก็ย่อมได้รับความปลอดภัยเสมอ
ให้ดูตัวอย่างเมื่อครั้งที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่มีพรรค ไม่มีนักการเมืองในสังกัด แต่กลับทรงพลังอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรี นั่นย่อมมีเหตุผลที่มาและที่สำคัญก็คือความกล้าหาญ ความเด็ดขาดและความมีคุณธรรม จึงทำให้รัฐบาลนั้นอยู่ยั้งยืนยงได้ถึง 8 ปี
ในวันนี้รัฐบาลมีพรรคเป็นหลักเป็นแหล่ง มีเสียงสนับสนุนในสภาไม่น้อย หากจะเปรียบกับยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แล้ว ย่อมมีความเหนือกว่าอย่างลิบลับ แต่ที่จะเทียบกันไม่ได้ก็อยู่ที่ความเด็ดขาด ความกล้าหาญ และความมีคุณธรรมเท่านั้น
ในวันนี้อาณาประชาราษฎรได้เห็นประจักษ์ถ้วนหน้าแล้ว ถึงความอดทนอดกลั้นและความตั้งใจดีต่อบ้านเมือง ตลอดจนน้ำจิตน้ำใจที่เป็นสุภาพบุรุษของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และก็ได้รู้เช่นเห็นชาติเช่นเดียวกันว่านักการเมืองคนไหนชั่วช้าสารเลวที่เป็นภัยอันตรายต่อประเทศชาติและประชาชน
ดังนั้นการจะได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่เพียงใด จึงอยู่ที่การทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนชาวสยาม ไม่ใช่เพื่อการได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปนานๆ
เพราะการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้สำคัญเท่ากับการสร้างผลงานที่เป็นคุณูปการต่อบ้านเมือง หากนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแบบเจว็ดแล้ว แม้วันเดียวก็นานเกินไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยืนอยู่อย่างวีรชนที่ผู้คนค้อมหัวนับถือบูชา หรือว่าจะยืนอยู่อย่างทรชนที่มีแต่คนเหยียดหยามดูหมิ่น กระทั่งอยากถุยน้ำลายใส่ทุกที่ที่พบเห็น ก็อยู่ที่การตัดสินใจคราวนี้แหละ!
ความจริงอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะ และเมื่อใดก็ตามถ้านายกรัฐมนตรีเป็นที่ยำเกรงนับถือหรือมีอำนาจจริงๆ ก็จะไม่มีใครกล้าหือในการปรับคณะรัฐมนตรี
จะมีแต่เสียงพูดว่า เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หรือไม่ก็มีเสียงว่าไม่ติดยึดในตำแหน่ง สุดแท้แต่นายกรัฐมนตรีจะกรุณา
ดังนั้นการจะดูว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจจริงหรือไม่จริง หรือว่ามีน้ำยาหรือไม่ ก็ให้ฟังเสียงที่เกี่ยวข้องในกรณีมีข่าวว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีก็จะเห็นได้ชัด
การจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันนี้เหมือนกับการเล่นหมากกลางกระดาน คือเป็นการจัดตั้งจากการจัดการของคนอื่นหลังจากรัฐบาลก่อนพ้นจากตำแหน่ง การเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้มาด้วยการจัดการของคนอื่น ดังนั้นแม้นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้โดยลำพัง
หลายครั้งหลายหนที่ผ่านมา แม้นายกรัฐมนตรีมีทีท่าว่าอยากจะปรับคณะรัฐมนตรีก็จะมีเสียงท้วงในเชิงขวาง หรือถ้าพูดแบบชาวบ้านก็ว่ามีคนมองด้วยสายตาแบบตาเขียวปัดๆ หรือไม่ก็พูดว่าคณะรัฐมนตรีทำงานดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ไม่มีการทุจริต ไม่ต้องปรับคณะรัฐมนตรี
เสียงแบบนี้คนที่คุ้นเคยในวงการเมืองก็จะคุ้นเสียงว่าเป็นเสียงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และเสียงนี้แหละที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องรอรีรั้งรอไม่สามารถปรับคณะรัฐมนตรีได้
แต่ทว่าความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งปวงจากการกระทำของคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าข้อครหาเรื่องการกินสินบาทคาดสินบน การปล้นชาติปล้นประชาชน การใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ และความไร้น้ำยาในการบริหาร หรือการเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม ซึ่งจะต้องได้รับการจัดการแก้ไขนั้น ไม่ได้อยู่ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่อยู่ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นเสียงป่าวร้องก่นด่าประดุจห่ากระสุนตกจึงไปลงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเมื่อมีเรื่องราวใดๆ ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น นอกจากสื่อและผู้คนจะด่าคนทำผิดคิดชั่วแล้ว ในที่สุดก็จะจบการด่าลงตรงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสมอ
และก็เป็นธรรมดาของหมู่บ้านกระสุนตก ย่อมไปถูกคนอื่นที่แวดล้อมใกล้ชิดอยู่ด้วย ไม่ว่าในส่วนตัวคือพ่อแม่ลูกเมีย หรือในส่วนพรรคก็ไปถูกผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคจนเปรอะเปื้อนไปด้วยกันหมด
การเปรอะเปื้อนนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงที่ทำให้ผู้คนชอกช้ำระกำใจก็คือ การย่ำยีจิตใจประชาชนของนักการเมืองชั่วบางคน ที่แต่ละวันก็คิดแต่จะปล้นชาติ ปล้นประชาชน ทำร้ายบ้านเมือง ซึ่งไม่ต้องเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร คนไทยก็ย่อมรู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง
คนชั่วเหล่านี้ฮึกเหิมลำพอง ไม่เห็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในสายตา อาจเพราะคิดว่ามีคนคอยเป็นเกราะคุ้มกันให้ก็ได้ ดังนั้นจึงแทนที่จะบันยะบันยัง กลับเดินหน้าโกงบ้านโกงเมือง ทำร้ายชาติบ้านเมืองต่อไปไม่หยุดยั้ง
เพราะเหตุนี้บ้านเมืองจึงย่อยยับอับจน มีความไม่ปกติสุขเกิดขึ้นโดยทั่วไป ทำให้คนไทยทุกหมู่ทุกเหล่าต้องทุกข์ตรมขมขื่นไปตามๆ กัน
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัสตอบการถวายพระพรของทุกสถาบันว่า พระองค์จะเป็นสุขได้ก็เพราะบ้านเมืองมีความเจริญและเป็นปกติสุข
เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่จะต้องทำและปฏิบัติอย่างเต็มกำลังเพื่อให้บ้านเมืองมีความเจริญและเป็นปกติสุข ซึ่งปมเงื่อนสำคัญก็คือการส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมืองและการป้องกันขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมือง
รวมไปถึงการกำจัดคนไม่ดีที่มีอำนาจอยู่ในบ้านเมืองให้พ้นออกไปเสียจากอำนาจ เพื่อจะได้ไม่ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมืองและทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุข ทำให้กลไกรัฐทั้งหลายทั้งปวงเดินไปตามหนทางที่ถูกต้องได้
ดังนั้นการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จึงเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องตัดสินใจในครั้งสำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอง ตลอดจนอนาคตของประเทศชาติและประชาชนด้วย
นั่นคือจะต้องตัดสินใจว่าจะทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขและเจริญรุ่งเรือง หรือว่าจะยอมจำนนให้บ้านเมืองเป็นกลียุค เต็มไปด้วยการโกงบ้านกินเมืองจนเสื่อมโทรมและสิ้นสลายไปในที่สุด
ไม่ต้องตอบก็คาดหมายได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องเลือกเอาในทางที่จะทำการสนองพระเดชพระคุณให้บังเกิดผลดีที่สุดแก่บ้านเมือง
แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะนักการเมืองชั่วช้าสารเลวนั้น เมื่อมีอำนาจแล้ว หากปลดออกไปก็จะป่วนรัฐบาลจนล่มสลายลงก็ได้ แต่ถ้าหากปล่อยให้มีอำนาจต่อไปก็จะโกงบ้านโกงเมืองและต้องล่มสลายลงไปเหมือนกัน
บทเรียนในการปล่อยให้นักการเมืองโกงชาติทำร้ายบ้านเมืองอยู่ในอำนาจ และจะต้องล่มสลายลงในที่สุดนั้นมีบทเรียนมากมาย และบทเรียนที่เกิดขึ้นในระยะใกล้ที่สุดก็คือ บทเรียนของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
ดังนั้นถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยอมจำนนเพราะความติดยึดในอำนาจวาสนาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยินยอมให้นักการเมืองชั่วช้าสารเลวอยู่ในอำนาจ ในที่สุดทั้งรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะต้องล้มครืนลงไป เช่นเดียวกับบทเรียนที่ปรากฏให้เห็นมาแล้วนั่นเอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนักการเมืองมือเก๋า มีอำนาจและมีพลังต่างๆ ขนาดไหน ยังไม่อาจทานทนอยู่ได้ สำมะหาอะไรกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถ้าหากกระทำกรรมซ้ำรอยกันแล้ว จะไม่ได้รับวิบากกรรมเช่นเดียวกัน
ดังนั้นหนทางการปล่อยให้นักการเมืองชั่วช้าสารเลวมีอำนาจในบ้านเมืองเพื่อจะล่มสลายไปด้วยกันนั้นจึงไม่ใช่หนทางอันเกษม
จึงคงเหลือหนทางอีกสายหนึ่ง คือการกำจัดคนไม่ดีออกจากอำนาจ ไม่ให้ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ซึ่งจะต้องเสี่ยงกับการป่วนและการล้มรัฐบาลที่อาจจะเกิดขึ้น
ดังนั้นในการตัดสินใจในเรื่องนี้ จึงต้องปลุกขวัญกำลังใจตนเองให้มีความกล้าหาญ ให้มีความเด็ดขาด และมีคุณธรรมที่เต็มเปี่ยม เพราะธรรมเหล่านี้จักคุ้มครองป้องกันมิให้ได้รับอันตรายและประสพความสวัสดีในที่ทั้งปวง แม้จะเผชิญกับอันตรายก็ย่อมได้รับความปลอดภัยเสมอ
ให้ดูตัวอย่างเมื่อครั้งที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่มีพรรค ไม่มีนักการเมืองในสังกัด แต่กลับทรงพลังอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรี นั่นย่อมมีเหตุผลที่มาและที่สำคัญก็คือความกล้าหาญ ความเด็ดขาดและความมีคุณธรรม จึงทำให้รัฐบาลนั้นอยู่ยั้งยืนยงได้ถึง 8 ปี
ในวันนี้รัฐบาลมีพรรคเป็นหลักเป็นแหล่ง มีเสียงสนับสนุนในสภาไม่น้อย หากจะเปรียบกับยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แล้ว ย่อมมีความเหนือกว่าอย่างลิบลับ แต่ที่จะเทียบกันไม่ได้ก็อยู่ที่ความเด็ดขาด ความกล้าหาญ และความมีคุณธรรมเท่านั้น
ในวันนี้อาณาประชาราษฎรได้เห็นประจักษ์ถ้วนหน้าแล้ว ถึงความอดทนอดกลั้นและความตั้งใจดีต่อบ้านเมือง ตลอดจนน้ำจิตน้ำใจที่เป็นสุภาพบุรุษของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และก็ได้รู้เช่นเห็นชาติเช่นเดียวกันว่านักการเมืองคนไหนชั่วช้าสารเลวที่เป็นภัยอันตรายต่อประเทศชาติและประชาชน
ดังนั้นการจะได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่เพียงใด จึงอยู่ที่การทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนชาวสยาม ไม่ใช่เพื่อการได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปนานๆ
เพราะการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้สำคัญเท่ากับการสร้างผลงานที่เป็นคุณูปการต่อบ้านเมือง หากนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแบบเจว็ดแล้ว แม้วันเดียวก็นานเกินไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยืนอยู่อย่างวีรชนที่ผู้คนค้อมหัวนับถือบูชา หรือว่าจะยืนอยู่อย่างทรชนที่มีแต่คนเหยียดหยามดูหมิ่น กระทั่งอยากถุยน้ำลายใส่ทุกที่ที่พบเห็น ก็อยู่ที่การตัดสินใจคราวนี้แหละ!