“ปทีป” รับขอเวลา ก.ตร.เลื่อนแต่งตั้งระดับรอง ผบก.-สว.ออกไปก่อน อ้างห่วงเกียร์ว่างช่วงปีใหม่ พร้อมโยนให้ บช.น.ตัดสินใจถอนประกันแกนนำฯกรณีเสื้อแดงก่อความวุ่นวายปิดล้อม กกต.
วันนี้ (24 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร (สว.) ถึงรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ว่า ในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อขอขยายเวลาในการแต่งตั้ง ที่จากเดิม ก.ตร.อนุมัติ ไว้ว่าต้องภายในวันที่ 31 ธันวาคม ก็จะขอเลื่อนออกไป แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเลื่อนไปถึงเมื่อใด ต้องรอมติ ก.ตร.เสียก่อน ซึ่งเหตุผลที่ขอเลื่อนเพราะว่าหากแต่งตั้งในช่วงนี้คำสั่งจะมีผลในห้วงวันที่ 31 ธันวาคม และในวันที่ 1 จะเป็นช่วงที่มีรอยต่อของการไปรับตำแหน่ง ซึ่งจะกลายเป็นสุญญากาศในการทำงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตนไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
พล.ต.อ.ปทีป กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการขอยกเว้นหลักเกณฑ์ที่ต้องครองตำแหน่ง 2 ปี ถึงจะได้รับการแต่งตั้งว่า ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับตั๋วการเมืองอย่างที่มีกระแสข่าว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความจำเป็น ในกรณีที่เข้าข่ายสามารถขอยกเว้นได้มีหลายกรณี ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งสารวัตร สืบสวนและสารวัตรปราบปราบที่เกิดใหม่จากการเกลี่ยตำแหน่ง สาวัตรสืบสวนปราบปราม (สว.สป.) ที่มีขึ้นในสมัย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็น ผบ.ตร. ซึ่งผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนั้นมีตำรวจที่อยู่ต่างจังหวัดต้องย้ายมาดำรงตำแหน่งในนครบาลจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้ถือว่าคนเหล่านี้เดือดร้อนเพราะเติบโตมาในภาคอีสานตลอด พอย้ายมาก็ไม่คุ้นเคย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เพิ่งย้ายมาไปครบ 2 ปี ก็อยู่ในข่ายต้องที่สามารถขอ ก.ตร.เพื่อยกเว้นหลักเกณฑ์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มนี้ต้องได้รับยกเว้นทุกราย
ส่ง ตร.คุม กกต.จากเสื้อแดง โยน บช.น.ตัดสินถอนประกันแกนนำ
พล.ต.อ.ปทีป กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกไปปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และก่อความวุ่นวายว่า การพิจารณาถอนประกันแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด จากนั้นจะส่งมาให้ตนรับทราบ โดยส่วนตัวไม่ออกความเห็นต้องให้ บช.น.ตัดสินใจโดยข้อมูลและกฎหมาย
ส่วนการดูแลความปลอดภัย กกต.ที่กังวลว่าคนเสื้อแดงจะบุกบ้านพักนั้น รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนจะสั่งการให้ บช.น.ไปดูแล จัดกำลังตำรวจเข้าไปดูแลความปลอดภัยให้
ไม่รับ สีกากีทุจริตติดอันดับ 1
พล.ต.อ.ปทีป ยังกล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจถือเป็นหน่วยที่มีการร้องเรียนทุจริต คอร์รัปชัน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่มิชอบมากที่สุด ว่า ตนยังไม่เห็นข้อมูลที่ชัดเจนจึงให้ความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ยังตอบได้ไม่ลึกพอ ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผยออกมาก็ไม่ได้บอกรายละเอียดว่า ที่ชี้ว่าตำรวจมีการปฏิบัติหน้าที่มิชอบมากที่สุดนั้นเกิดจากอะไรบ้าง เป็นข้อมูลที่รวมการร้องทุกข์กรณีที่ตำรวจ ไปทำงาน เช่นไปจับคนร้ายมียาเสพติดทั้งที่มั่นใจในพยานหลักฐาน แล้วถูกฟ้องร้องกลับซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ใครจะฟ้องก็ได้หรือไม่ ถ้าเป็นข้อมูลในลักษณะนี้ก็อ้างเป็นสถิติทั้งหมดไม่ได้
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยจี้ให้ดำเนินการต่อ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 ให้พ้นจากตำแหน่ง นั้น พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า กำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ แต่ใช่ว่าทุกกรณีที่มีการกล่าวหา หรือถูกดำเนินคดี จะต้องให้ตำรวจที่ถูกร้องพ้นจากตำแหน่งเสมอไป แต่เรื่องนี้ตนยังไม่ได้พิจารณา
ยันคดีไทเกอร์จบแล้ว
พล.ต.อ.ปทีป กล่าวภายหลังประชุมเร่งรัดการใช้งบประมาณปี 2553 ว่า เป็นการเร่งรัดการใช้งบประมาณของทุกหน่วย โดยไม่มีการพูดคุยกันเรื่องการจัดซื้อรถจักรยายนต์ยี่ห้อไทเกอร์แต่อย่างใดเนื่องจากเรื่องนี่จบไปแล้วมีการจัดซื้อและจ่ายเงินไปตามงวดจนครบตั้งแต่ปี 2551 แล้วเรื่องนี้ตนไม่ใช่ต้นเรื่อง และไม่ต้องมาทบทวนหรือระงับสัญญาอะไรแล้วเพราะเรื่องนี้จบแล้ว ส่วนที่เป็นคดีอาญาและอยู่ในการสอบสวนวินัยของ ป.ป.ช.ก็ให้ดำเนินการไป ส่วนนายตำรวจ 6 นายที่มีรายชื่อถูกสอบวินัย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องโยกย้ายตำแหน่งให้พ้นจากหน้าที่ เนื่องจากงานที่แต่ละคนทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างเรื่องนี้แล้ว อย่างที่บอกไปหลายครั้งว่าการจัดซื้อจัดจ้างเรื่องนี้จบไปนานแล้ว สอบสวนกันมาเป็นปีแล้ว
พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า สำหรับรถจักรยานยนต์ที่ใช้ไปแล้วมีปัญหาก็สามารถให้บริษัทที่ทำ ตร.ทำสัญญาชดใช้ได้ ถ้าเสียมากจนใช้ไม่ได้ก็หักค่าเช่าได้ ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่มีอยู่แล้ว ส่วนที่อ้างว่ารถเสีย ไม่มีศูนย์ซ่อม ซ่อมลำบาก เท่าที่ทราบตอนนี้ไม่มีหน่วยไหนแจ้งว่าได้รับความเดือดร้อนตรงนี้ แต่หากพบความเดือดร้อน รถเสีย ก็แจ้งไปที่ต้นสังกัด เพื่อดำเนินการต่อตามสัญญา