ASTVผู้จัดการรายวัน - บิ๊กแบงก์กสิกรไทยยันพร้อมเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับปตท.และเอสซีจี แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ เชื่อไม่ส่งผลกระทบตอ่การปล่อยสินเชื่อของแบงก์จากที่ตั้งเป้าสินเชื่อปี 53 โต 7-9% ล่าสุดปล่อยกู้ให้"โซล่า เพาเวอร์"พันล้าน เตือนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่ปรับสูงขึ้นอาจเกิดฟองสบู่ได้ และส่งผลกระทบต่อไทยทางอ้อม
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCG) จะดำเนินการหารือกับธนาคารต่างๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายหลังได้รับผลกระทบจากการชะลอโครงการลงทุนในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว แต่หากบริษัททั้งสองต้องการเข้ามาปรับโครงสร้างกับธนาคารจริง ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เนื่องจากโดยปกติแล้วสินเชื่อประเภทโครงการจะถูกประเมินว่าการดำเนินการอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ และมีการเบิกจ่ายวงเงินสินเชื่อออกไปมากแค่ไหน ดังนั้น หากโครงการดังกล่าวถูกชะลอลง ตารางการเบิกจ่ายต่างๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้
"ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้คุยกันกับลูกค้า แต่ขอยืนยันว่าถ้าเขาต้องการมาก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสินเชื่อของเราที่ปล่อยให้ก็มีอยู่แค่นิดเดียวประมาณกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งบางส่วนก็เบิกใช้ไปแล้วและมีตัวเลขที่ชัดเจนว่าลูกค้าจะต้องชำระอัตราดอกเบี้ยเท่าไร"นายประสาร กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหากรณีมาบตาพุด ทางรัฐบาลควรหาแนวทางที่ถูกต้อง เพราะหลังจากที่กระแสข่าวที่นักลงทุนญี่ปุ่นออกมาระบุจะลดความเชื่อมั่นในภาคการลงทุนไทยภายหลังเกิดปัญหามาบตาพุด ถือเป็นคำเตือนและเป็นบทเรียนที่ควรแก้ไข แต่ยังไม่ถึงกับสร้างความกังวลมากนัก เนื่องจากมองว่าประเทศไทยยังคงมีสิ่งที่ดีให้สามารถแข่งขันได้ แต่ยังต้องปรับปรุงในเรื่องต่างๆ เพื่อหาทางสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา
ปล่อยกู้โซล่า เพาเวอร์พันล้าน
ส่วนทางด้านแผนการดำเนินของธนาคารในปี 2553 นี้ธนาคารได้ตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อรวมทั้งปีนี้ไว้ที่ 7-9% ซึ่งอยู่บนการประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่คาดว่า จะขยายตัวประมาณ 3-3.5% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3-4% โดยแบ่งเป็นการเติบโตสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ไว้ที่ 2-4% สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) 8-10% และสินเชื่อบุคคลธรรมดาจะเติบโตอีก 15-16%
ในขณะที่ยอดการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารในปี 2552 ที่ผ่านมามั่นใจว่าจะขยายตัวในแดนบวกเล็กน้อย โดยเฉพาะสินเชื่อในไตรมาส 4 ที่พบว่ามีการปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้าแต่ยังไม่สามารถระบุเป็นอัตราตัวเลขที่ชัดเจนได้ ดังนั้นการฟื้นตัวของสินเชื่อรวมธนาคารในปีนี้ก็จะต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของปีที่แล้วนั้น ยังสามารถรักษาให้ระดับอยู่ไม่สูงไปกว่าเดิมได้ จึงยังไม่น่าเป็นห่วง
ล่าสุด ได้ปล่อยกู้แก่บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนรวม 1,100 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยการให้การสนับสนุนทางการเงินครั้งนี้จะเป็นเงินกู้โครงการ (Project Finance) มาตรฐานระดับสากล ซึ่งประกอบด้วยวงเงินเพื่อนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ วงเงินกู้ระยะยาว พร้อมทั้งวงเงินอื่น ๆ เพื่อบริหารโครงการ อาทิ วงเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวนรวมกว่า 1,100 ล้านบาท โดยโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากทางภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
นายประสารกล่าวว่า ธนาคารมีเป้าหมายที่จะเป็นอันดับหนึ่ง ในการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่ใช้พลังงานหมุนเวียนด้วยส่วนแบ่งตลาด 30% ซึ่งนอกจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ยังรวมถึงพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น ๆ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าชีวมวล
เตือนผลกระทบฟองสบู่สินค้าโภคภัณฑ์
ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ก็ยอมรับว่าแม้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีก่อน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากในและต่างประเทศเข้ามากระทบอย่างตอ่เนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศที่สถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่ดีขึ้น และอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและนักธุรกิจในอนาคตได้ ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับมาตรการการดำเนินแผนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลที่เชื่อว่าหากผู้ดำรงนโยบายทางการเมืองยังคงเป็นรัฐบาลเดิมก็จะสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นายประสาร ยังกล่าวถึงแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะสินค้าประเภทคอมมูนิตี้ ในปัจจุบันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่าง น้ำตาล ยางพารา และทองคำ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจากแรงเก็งกำไร โดยเฉพาะในส่วนของทองคำ เนื่องจากผู้ลงทุนไม่ต้องการเสียโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและแนวโน้มค่าเงินสกุลดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงอีก ขณะที่อีกส่วนหนึ่งราคาขยับขึ้นจากราคาพื้นฐานเป็นสำคัญ อาทิ ราคาน้ำตาลซึ่งเกิดจากประเทศบราซิลที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่สามารถผลิตได้น้อยลงจากสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน รวมทั้งยางพาราที่ราคาปรับตัวขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค
ส่วนกรณีนักเศรษฐศาสตร์ในต่างประเทศได้แสดงความกังวลถึงโอกาสที่จะเกิดปัญหาฟองสบู่ขึ้นในภาคสินค้าโภคภัณฑ์ได้ แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณดังกล่าวที่จะเกิดปรากฎการณ์ฟองสบู่ แต่อาจได้รับผลกระทบในทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ จึงทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ทางการมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลก
ดังนั้น ในเรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)นั้นเชื่อว่าการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 13 มกราคมนี้เชื่อว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันคือ 1.25% และจะอยู่ในระดับดังกล่าวตลอดครึ่งปีแรก ส่วนครึ่งปีหลังทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอดูสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง แต่หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คาดว่าจะปรับขึ้นเป็นตัวเลขที่น้อยๆก่อนประมาณ 0.25% ประมาณ 2-3 ครั้ง ซึ่งเมื่อรวมทั้งครึ่งปีหลังแล้วอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นประมาณ 0.75% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารก็มองว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCG) จะดำเนินการหารือกับธนาคารต่างๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายหลังได้รับผลกระทบจากการชะลอโครงการลงทุนในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว แต่หากบริษัททั้งสองต้องการเข้ามาปรับโครงสร้างกับธนาคารจริง ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เนื่องจากโดยปกติแล้วสินเชื่อประเภทโครงการจะถูกประเมินว่าการดำเนินการอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ และมีการเบิกจ่ายวงเงินสินเชื่อออกไปมากแค่ไหน ดังนั้น หากโครงการดังกล่าวถูกชะลอลง ตารางการเบิกจ่ายต่างๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้
"ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้คุยกันกับลูกค้า แต่ขอยืนยันว่าถ้าเขาต้องการมาก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสินเชื่อของเราที่ปล่อยให้ก็มีอยู่แค่นิดเดียวประมาณกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งบางส่วนก็เบิกใช้ไปแล้วและมีตัวเลขที่ชัดเจนว่าลูกค้าจะต้องชำระอัตราดอกเบี้ยเท่าไร"นายประสาร กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหากรณีมาบตาพุด ทางรัฐบาลควรหาแนวทางที่ถูกต้อง เพราะหลังจากที่กระแสข่าวที่นักลงทุนญี่ปุ่นออกมาระบุจะลดความเชื่อมั่นในภาคการลงทุนไทยภายหลังเกิดปัญหามาบตาพุด ถือเป็นคำเตือนและเป็นบทเรียนที่ควรแก้ไข แต่ยังไม่ถึงกับสร้างความกังวลมากนัก เนื่องจากมองว่าประเทศไทยยังคงมีสิ่งที่ดีให้สามารถแข่งขันได้ แต่ยังต้องปรับปรุงในเรื่องต่างๆ เพื่อหาทางสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา
ปล่อยกู้โซล่า เพาเวอร์พันล้าน
ส่วนทางด้านแผนการดำเนินของธนาคารในปี 2553 นี้ธนาคารได้ตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อรวมทั้งปีนี้ไว้ที่ 7-9% ซึ่งอยู่บนการประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่คาดว่า จะขยายตัวประมาณ 3-3.5% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3-4% โดยแบ่งเป็นการเติบโตสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ไว้ที่ 2-4% สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) 8-10% และสินเชื่อบุคคลธรรมดาจะเติบโตอีก 15-16%
ในขณะที่ยอดการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารในปี 2552 ที่ผ่านมามั่นใจว่าจะขยายตัวในแดนบวกเล็กน้อย โดยเฉพาะสินเชื่อในไตรมาส 4 ที่พบว่ามีการปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้าแต่ยังไม่สามารถระบุเป็นอัตราตัวเลขที่ชัดเจนได้ ดังนั้นการฟื้นตัวของสินเชื่อรวมธนาคารในปีนี้ก็จะต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของปีที่แล้วนั้น ยังสามารถรักษาให้ระดับอยู่ไม่สูงไปกว่าเดิมได้ จึงยังไม่น่าเป็นห่วง
ล่าสุด ได้ปล่อยกู้แก่บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนรวม 1,100 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยการให้การสนับสนุนทางการเงินครั้งนี้จะเป็นเงินกู้โครงการ (Project Finance) มาตรฐานระดับสากล ซึ่งประกอบด้วยวงเงินเพื่อนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ วงเงินกู้ระยะยาว พร้อมทั้งวงเงินอื่น ๆ เพื่อบริหารโครงการ อาทิ วงเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวนรวมกว่า 1,100 ล้านบาท โดยโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากทางภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
นายประสารกล่าวว่า ธนาคารมีเป้าหมายที่จะเป็นอันดับหนึ่ง ในการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่ใช้พลังงานหมุนเวียนด้วยส่วนแบ่งตลาด 30% ซึ่งนอกจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ยังรวมถึงพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น ๆ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าชีวมวล
เตือนผลกระทบฟองสบู่สินค้าโภคภัณฑ์
ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ก็ยอมรับว่าแม้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีก่อน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากในและต่างประเทศเข้ามากระทบอย่างตอ่เนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศที่สถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่ดีขึ้น และอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและนักธุรกิจในอนาคตได้ ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับมาตรการการดำเนินแผนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลที่เชื่อว่าหากผู้ดำรงนโยบายทางการเมืองยังคงเป็นรัฐบาลเดิมก็จะสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นายประสาร ยังกล่าวถึงแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะสินค้าประเภทคอมมูนิตี้ ในปัจจุบันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่าง น้ำตาล ยางพารา และทองคำ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจากแรงเก็งกำไร โดยเฉพาะในส่วนของทองคำ เนื่องจากผู้ลงทุนไม่ต้องการเสียโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและแนวโน้มค่าเงินสกุลดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงอีก ขณะที่อีกส่วนหนึ่งราคาขยับขึ้นจากราคาพื้นฐานเป็นสำคัญ อาทิ ราคาน้ำตาลซึ่งเกิดจากประเทศบราซิลที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่สามารถผลิตได้น้อยลงจากสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน รวมทั้งยางพาราที่ราคาปรับตัวขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค
ส่วนกรณีนักเศรษฐศาสตร์ในต่างประเทศได้แสดงความกังวลถึงโอกาสที่จะเกิดปัญหาฟองสบู่ขึ้นในภาคสินค้าโภคภัณฑ์ได้ แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณดังกล่าวที่จะเกิดปรากฎการณ์ฟองสบู่ แต่อาจได้รับผลกระทบในทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ จึงทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ทางการมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลก
ดังนั้น ในเรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)นั้นเชื่อว่าการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 13 มกราคมนี้เชื่อว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันคือ 1.25% และจะอยู่ในระดับดังกล่าวตลอดครึ่งปีแรก ส่วนครึ่งปีหลังทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอดูสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง แต่หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คาดว่าจะปรับขึ้นเป็นตัวเลขที่น้อยๆก่อนประมาณ 0.25% ประมาณ 2-3 ครั้ง ซึ่งเมื่อรวมทั้งครึ่งปีหลังแล้วอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นประมาณ 0.75% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารก็มองว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน