ขอนแก่น - ผู้อำนวยการ รพ.ศูนย์ขอนแก่นยอมรับยังไม่สามารถหาแหล่งที่มาของเชื้อในห้องผ่าตัดตาจนทำให้ผู้ป่วยตาบอด 11 ราย ยันแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาล้วนมีปนิธานในการดูแลผู้ป่วย "สปสช." เร่งช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายผู้เสียหายรายละไม่เกิน 2 แสนบาท
วานนี้ (5 ม.ค.) น.พ.วีรพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จ.ขอนแก่น เปิดเผยถึงผลการผ่าตัดผู้ป่วยตาต้อกระจกแล้วเกิดติดเชื้อทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดตาบอด 7 รายและอีก 4 รายเข้าข่ายตาบอดเช่นเดียวกันว่า จนถึงขณะนี้คณะกรรมการควบคุมโรคที่เกิดการแพร่ระบาดในการรักษาผู้ป่วยที่เกิดอาการติดเชื้อในห้องผ่าตัด ขณะผ่าตัดรักษาต้อกระจกดวงตา ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่มาของการติดเชื้อจนทำให้ผู้ป่วย 7 ใน 11 คน ต้องสูญเสียการมองเห็นเป็นการถาวร ขณะที่อีก 4 คนเห็นได้ในลักษณะขุ่นมัวไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำได้นับจากนี้ไปของทางโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นก็คือ การเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในขั้นตอนการรักษาผู้ป่วย
น.พ.วีรพันธ์ กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อบุคคลากรในแง่ของขวัญและกำลังใจในการทำหน้าที่อย่างมาก แต่ยืนยันได้ว่าในแง่ของทางการแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาล้วนมีปนิธานในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วย
"เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกับโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แต่จำนวนผู้ได้รับผลกระทบในขณะนั้นไม่มากเท่ากับโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ในส่วนของทางโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ขณะนี้แผนกผ่าตัดก็เปิดให้บริหารตามปกติ ส่วนที่ผู้ป่วยจะหวาดกลัวจนไม่มารักษากับทางโรงพยาบาลก็เป็นสิทธิ์ คงไม่สามารถที่จะไปโน้มน้าวหรือฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น" น.พ.วีรพันธ์ กล่าว
ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.มีความเสียใจเป็นอย่างสุดซึ้งกับผู้ป่วยและญาติ ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ สปสช.เขต 7 ขอนแก่น ซึ่งดูแลพื้นที่ดังกล่าว ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเร่งด่วนทั้งการเยียวยาด้านจิตใจและการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมถึงการประสานงานเพื่อขอรับการช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ ในกรณีทุพพลภาพนั้นจะได้รับการช่วยเหลือได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย
“นอกจากเร่งช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว ได้มอบให้สปสช.เขต 7 ขอนแก่น ให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางโรงพยาบาลในการตรวจหาสาเหตุ และหาหนทางร่วมกันในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวขึ้น ในกรณีที่จะต้องการผ่าตัดต่อไป” นพ.ประทีปกล่าว.
วานนี้ (5 ม.ค.) น.พ.วีรพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จ.ขอนแก่น เปิดเผยถึงผลการผ่าตัดผู้ป่วยตาต้อกระจกแล้วเกิดติดเชื้อทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดตาบอด 7 รายและอีก 4 รายเข้าข่ายตาบอดเช่นเดียวกันว่า จนถึงขณะนี้คณะกรรมการควบคุมโรคที่เกิดการแพร่ระบาดในการรักษาผู้ป่วยที่เกิดอาการติดเชื้อในห้องผ่าตัด ขณะผ่าตัดรักษาต้อกระจกดวงตา ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่มาของการติดเชื้อจนทำให้ผู้ป่วย 7 ใน 11 คน ต้องสูญเสียการมองเห็นเป็นการถาวร ขณะที่อีก 4 คนเห็นได้ในลักษณะขุ่นมัวไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำได้นับจากนี้ไปของทางโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นก็คือ การเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในขั้นตอนการรักษาผู้ป่วย
น.พ.วีรพันธ์ กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อบุคคลากรในแง่ของขวัญและกำลังใจในการทำหน้าที่อย่างมาก แต่ยืนยันได้ว่าในแง่ของทางการแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาล้วนมีปนิธานในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วย
"เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกับโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แต่จำนวนผู้ได้รับผลกระทบในขณะนั้นไม่มากเท่ากับโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ในส่วนของทางโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ขณะนี้แผนกผ่าตัดก็เปิดให้บริหารตามปกติ ส่วนที่ผู้ป่วยจะหวาดกลัวจนไม่มารักษากับทางโรงพยาบาลก็เป็นสิทธิ์ คงไม่สามารถที่จะไปโน้มน้าวหรือฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น" น.พ.วีรพันธ์ กล่าว
ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.มีความเสียใจเป็นอย่างสุดซึ้งกับผู้ป่วยและญาติ ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ สปสช.เขต 7 ขอนแก่น ซึ่งดูแลพื้นที่ดังกล่าว ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเร่งด่วนทั้งการเยียวยาด้านจิตใจและการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมถึงการประสานงานเพื่อขอรับการช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ ในกรณีทุพพลภาพนั้นจะได้รับการช่วยเหลือได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย
“นอกจากเร่งช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว ได้มอบให้สปสช.เขต 7 ขอนแก่น ให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางโรงพยาบาลในการตรวจหาสาเหตุ และหาหนทางร่วมกันในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวขึ้น ในกรณีที่จะต้องการผ่าตัดต่อไป” นพ.ประทีปกล่าว.
