ASTVผู้จัดการรายวัน-สศช.เสนอครม.ศก. เห็นชอบ แผนลงทุนการเดินรถไฟฟ้าสีม่วง วันนี้ ยันรูปแบบเดิม PPP- Gross Cost ให้เอกชนซื้อรถและดูแลการซ่อมบำรุง รัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถ เหมาะสมที่สุด เหตุได้ของดี ราคาถูก รัฐกำหนดค่าโดยสารได้ ต้นทุนค่าจ้างวิ่งชัดเจน คาดเดินหน้าตั้งกรรมการมาตรา 13 ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 เริ่มขั้นตอนคัดเลือกเอกชนได้ทันที
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้ (6 ม.ค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอขอความเห็นชอบแนวทางการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP (Public Private Partnership) Gross Cost โดยหากที่ประชุมครม.เศรษฐกิจให้ความเห็นชอบ กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะเริ่มดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการให้กิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 ได้ทันที ซึ่งคาดว่าการดำเนินการและคัดเลือกเอกชนจะแล้วเสร็จภายใน 1ปีครึ่ง ถึง 2 ปี
“เป็นแนวทางเดิมที่เคยเสนอครม.ไปแล้ว แต่อาจจะมีการอธิบายรายละเอียดไม่ชัดเจน ซึ่งก่อนเสนอครม.เศรษฐกิจ กระทรวงคมนาคมและสศช.ได้หารือเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันแล้ว เชื่อว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากผลการศึกษาของ เอดีบี ยืนยันว่า รูปแบบ PPP- Gross Cost ที่ให้เอกชนซื้อรถและดูแลการซ่อมบำรุง จะทำให้ได้ของดี ราคาถูกกว่ารัฐจัดหาเอง” นางสร้อยทิพย์กล่าว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสศช. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เห็นด้วยกับรูปแบบ PPP- Gross Cost ในการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ คือ รัฐลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และให้เอกชนลงทุนค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า โดยรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสาร รายได้เชิงพาณิชย์ ทั้งหมด และจ่ายค่าจ้างการบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงให้เอกชน ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้รัฐมีสิทธิในการกำหนดนโยบายบริหารโครงการทั้งหมด และทำให้รัฐมีภาระด้านการเงินน้อยกว่ารูปแบบ PPP-Net Cost (ให้สัมปทานเอกชนลงทุนและเดินรถ) ตลอดอายุโครงการ 30 ปี เฉลี่ยประมาณ 185 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ การที่เอกชนจัดหารถและดูแลการซ่อมบำรุง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างนั้น จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริการ เนื่องจากเอกชนสามารถจัดหาระบบและตัวรถและการซ่อมบำรุงได้ต่ำกว่าภาครัฐ และราคาที่ภาคเอกชนเสนอจะทำให้รัฐรู้ต้นทุนการเดินรถที่ชัดเจน ซึ่งทำให้กำหนดอัตราค่าโดยสารได้อย่างเป็นธรรม ในขณะที่ภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายที่จะสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการได้มากขึ้น เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2552 มีมติให้ สศช. กลับไปทบทวนรายละเอียดการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในรูปแบบ PPP- Gross Cost และให้เสนอครม.เศรษฐกิจพิจารณาอีกครั้ง โดยครม.ตั้งข้อสังเกตกรณีการให้เอกชนจัดหาตัวรถและการซ่อมบำรุงว่ายังไม่ชัดเจน โดยครม.ต้องการเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่ให้ตัวรถเป็นทรัพย์สินของรัฐ เพื่อดูว่าวิธีการใดจะดีกว่ากัน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแนวจากเดิมที่ปัจจุบันรัฐจะใช้วิธีการแบ่งรายได้กับเอกชนที่ได้วิ่งรถ โดยคำนวณจากค่าโดยสาร แต่จากนี้ไปรายได้ของเอกชนจะเป็นค่าตอบแทนที่รัฐให้ ดังนั้น รัฐจึงสามารถกำหนดค่าโดยสารและทำระบบตั๋วใบเดียวได้
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้ (6 ม.ค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอขอความเห็นชอบแนวทางการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP (Public Private Partnership) Gross Cost โดยหากที่ประชุมครม.เศรษฐกิจให้ความเห็นชอบ กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะเริ่มดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการให้กิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 ได้ทันที ซึ่งคาดว่าการดำเนินการและคัดเลือกเอกชนจะแล้วเสร็จภายใน 1ปีครึ่ง ถึง 2 ปี
“เป็นแนวทางเดิมที่เคยเสนอครม.ไปแล้ว แต่อาจจะมีการอธิบายรายละเอียดไม่ชัดเจน ซึ่งก่อนเสนอครม.เศรษฐกิจ กระทรวงคมนาคมและสศช.ได้หารือเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันแล้ว เชื่อว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากผลการศึกษาของ เอดีบี ยืนยันว่า รูปแบบ PPP- Gross Cost ที่ให้เอกชนซื้อรถและดูแลการซ่อมบำรุง จะทำให้ได้ของดี ราคาถูกกว่ารัฐจัดหาเอง” นางสร้อยทิพย์กล่าว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสศช. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เห็นด้วยกับรูปแบบ PPP- Gross Cost ในการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ คือ รัฐลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และให้เอกชนลงทุนค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า โดยรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสาร รายได้เชิงพาณิชย์ ทั้งหมด และจ่ายค่าจ้างการบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงให้เอกชน ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้รัฐมีสิทธิในการกำหนดนโยบายบริหารโครงการทั้งหมด และทำให้รัฐมีภาระด้านการเงินน้อยกว่ารูปแบบ PPP-Net Cost (ให้สัมปทานเอกชนลงทุนและเดินรถ) ตลอดอายุโครงการ 30 ปี เฉลี่ยประมาณ 185 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ การที่เอกชนจัดหารถและดูแลการซ่อมบำรุง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างนั้น จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริการ เนื่องจากเอกชนสามารถจัดหาระบบและตัวรถและการซ่อมบำรุงได้ต่ำกว่าภาครัฐ และราคาที่ภาคเอกชนเสนอจะทำให้รัฐรู้ต้นทุนการเดินรถที่ชัดเจน ซึ่งทำให้กำหนดอัตราค่าโดยสารได้อย่างเป็นธรรม ในขณะที่ภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายที่จะสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการได้มากขึ้น เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2552 มีมติให้ สศช. กลับไปทบทวนรายละเอียดการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในรูปแบบ PPP- Gross Cost และให้เสนอครม.เศรษฐกิจพิจารณาอีกครั้ง โดยครม.ตั้งข้อสังเกตกรณีการให้เอกชนจัดหาตัวรถและการซ่อมบำรุงว่ายังไม่ชัดเจน โดยครม.ต้องการเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่ให้ตัวรถเป็นทรัพย์สินของรัฐ เพื่อดูว่าวิธีการใดจะดีกว่ากัน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแนวจากเดิมที่ปัจจุบันรัฐจะใช้วิธีการแบ่งรายได้กับเอกชนที่ได้วิ่งรถ โดยคำนวณจากค่าโดยสาร แต่จากนี้ไปรายได้ของเอกชนจะเป็นค่าตอบแทนที่รัฐให้ ดังนั้น รัฐจึงสามารถกำหนดค่าโดยสารและทำระบบตั๋วใบเดียวได้
