ASTVผู้จัดการรายวัน- “พาณิชย์”มั่นใจเปิดเสรีอาฟตาช่วยดันการค้าไทย-อาเซียนเพิ่มขึ้นปีละ 25% เตรียมกระตุ้นคนไทยใช้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น หลังที่ผ่านมาใช้กันไม่ถึงครึ่ง ขณะที่ครม.คลอดมาตรการดูแลสินค้าเกษตรนำเข้าภายใต้อาฟตาแล้ว ทั้งชา กาแฟ และนม
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2553 นี้ จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอาเซียนเพิ่มขึ้น 25% ต่อปี จากเดิมที่มีอัตราขยายตวเฉลี่ยปีละ 20% โดยปัจจุบันมูลค่าการส่งออกไทยไปอาเซียน ในปี 2552มีมูลค่า 41,320ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยนำหน้าตลาดเดิมอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ด้านการนำเข้าจากอาเซียน มีมูลค่า 30,920ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยได้ดุลการค้า 10,400ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การสร้างมูลค่าทางการค้าให้เพิ่มตามเป้าหมาย ภาคเอกชนต้องรู้จักใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากข้อตกลงอาฟตาให้มากขึ้น โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายการออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า FROM Dเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงอาฟตาให้มีสัดส่วน 80% ของมูลค่าการค้าไปอาเซียนทั้งหมด จากที่ผ่านมา มีสัดส่วนการขอใช้สิทธิไม่ถึง 50% โดยปี 2551มีการใช้สิทธิมีมูลค่า 10,734 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 38.88% ขณะที่การส่งออกช่วง ม.ค.–ต.ค. 2552สัดส่วนการขอใช้สิทธิเพียง มีมูลค่า 7,700ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น42.82% ของมูลค่าสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่า 17,984 ล้านเหรียญสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ อาฟตาได้มีการดำเนินการลดภาษีมาแล้ว โดยในปี 2550สินค้าลดภาษีเป็น 0% มีมากถึง7,657 รายการ หรือ 80% ของรายการสินค้าทั้งหมด และในปีนี้ ได้เพิ่มการลดภาษีเป็น0% เพิ่มอีก 1,657 รายการ หรือประมาณ 20% ของรายการสินค้าทั้งหมด
นายอลงกรณ์กล่าวว่า วานนี้ (5ม.ค.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ผ่านความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ระเบียบการนำเข้าชา กาแฟ น้ำนมดิบและน้ำนมพร้อมดื่มและนมผงขาดมันเนยเข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อเป็นมาตรการรองรับและดูแลการนำเข้าสินค้าดังกล่าวที่มีการลดภาษีเป็น 0% ในปีนี้ ส่วนสินค้าเกษตรที่เหลือจะมีมาตรการรองรับออกมาในเร็วๆ นี้
“มั่นใจว่าจะดูแลการนำเข้าสินค้าเกษตรภายใต้อาฟตาได้อย่างแน่นอน เพราะได้มีมาตรการรองรับออกมาแล้ว และคณะกรรมการนโยบายการค้าระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลกระทบจากการค้าเสรีแล้วเช่นเดียวกัน ที่สำคัญ หากมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี รัฐบาลก็มีกองทุนช่วยเหลือทั้งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ที่จะเข้ามาดูแล”นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2553 นี้ จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอาเซียนเพิ่มขึ้น 25% ต่อปี จากเดิมที่มีอัตราขยายตวเฉลี่ยปีละ 20% โดยปัจจุบันมูลค่าการส่งออกไทยไปอาเซียน ในปี 2552มีมูลค่า 41,320ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยนำหน้าตลาดเดิมอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ด้านการนำเข้าจากอาเซียน มีมูลค่า 30,920ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยได้ดุลการค้า 10,400ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การสร้างมูลค่าทางการค้าให้เพิ่มตามเป้าหมาย ภาคเอกชนต้องรู้จักใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากข้อตกลงอาฟตาให้มากขึ้น โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายการออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า FROM Dเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงอาฟตาให้มีสัดส่วน 80% ของมูลค่าการค้าไปอาเซียนทั้งหมด จากที่ผ่านมา มีสัดส่วนการขอใช้สิทธิไม่ถึง 50% โดยปี 2551มีการใช้สิทธิมีมูลค่า 10,734 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 38.88% ขณะที่การส่งออกช่วง ม.ค.–ต.ค. 2552สัดส่วนการขอใช้สิทธิเพียง มีมูลค่า 7,700ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น42.82% ของมูลค่าสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่า 17,984 ล้านเหรียญสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ อาฟตาได้มีการดำเนินการลดภาษีมาแล้ว โดยในปี 2550สินค้าลดภาษีเป็น 0% มีมากถึง7,657 รายการ หรือ 80% ของรายการสินค้าทั้งหมด และในปีนี้ ได้เพิ่มการลดภาษีเป็น0% เพิ่มอีก 1,657 รายการ หรือประมาณ 20% ของรายการสินค้าทั้งหมด
นายอลงกรณ์กล่าวว่า วานนี้ (5ม.ค.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ผ่านความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ระเบียบการนำเข้าชา กาแฟ น้ำนมดิบและน้ำนมพร้อมดื่มและนมผงขาดมันเนยเข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อเป็นมาตรการรองรับและดูแลการนำเข้าสินค้าดังกล่าวที่มีการลดภาษีเป็น 0% ในปีนี้ ส่วนสินค้าเกษตรที่เหลือจะมีมาตรการรองรับออกมาในเร็วๆ นี้
“มั่นใจว่าจะดูแลการนำเข้าสินค้าเกษตรภายใต้อาฟตาได้อย่างแน่นอน เพราะได้มีมาตรการรองรับออกมาแล้ว และคณะกรรมการนโยบายการค้าระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลกระทบจากการค้าเสรีแล้วเช่นเดียวกัน ที่สำคัญ หากมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี รัฐบาลก็มีกองทุนช่วยเหลือทั้งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ที่จะเข้ามาดูแล”นายอลงกรณ์กล่าว
