บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด หรือทริสฯ ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ลีสซิ่ง จำกัด หรือ ADLC ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ " คงที่ " โดยอันดับเครดิตได้รับการเพิ่มสถานะจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเพราะได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่ คือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกเชิงกลยุทธ์ของธนาคารในธุรกิจสินเชื่อให้เช่าแบบลีสซิ่งภายใต้โครงสร้างธุรกิจธนาคารพาณิชย์แบบครบวงจร
โดยอันดับเครดิตของธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ปรับเพิ่มเป็นระดับ " AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ การขยายสินเชื่อแม้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และการรักษาต้นทุนการดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำ ทว่าถูกลดทอนจากการมีคุณภาพของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความเสี่ยงมากกว่าลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable"หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสฯว่าแนวทางธุรกิจของบริษัทจะยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาและคาดว่าบริษัทจะดำรงเงินสำรองสำหรับหนี้เสียในระดับพอเพียง
ทริสฯรายงานว่า สินเชื่อรวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ 12 รายในฐานข้อมูลของทริสฯ ยังเติบโตระดับต่ำ และบริษัท อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง มีสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ณ สิ้น ธ.ค. 51 ลดจากอันดับ 1 หลังการควบรวมกิจการกับผู้ประกอบการสัญชาติญี่ปุ่น 2 ราย แต่ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 17.2% ในปี 51
ในปี 51 บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลรับสุทธิที่ 278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 227 ล้านบาทในปี 50 สอดคล้องการขยายตัวของสินเชื่อรวมที่ระดับ 27.5% เป็น 7,394 ล้านบาทในปี 51 จาก 5,798 ล้านบาทในปี 50 สินเชื่อคงค้างขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็น 8,304 ล้านบาท ณ สิ้น ก.ย. 52 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ผลจากการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นมากในปี 50 โดยบริษัทเพิ่มสัดส่วนเงินสำรองทั่วไปมากกว่าที่กำหนดเพื่อให้สามารถรองรับคุณภาพสินทรัพย์ที่มีโอกาสด้อยค่าลงและใช้เป็นเงินสำรองเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการตั้งสำรองให้เป็นมาตรฐานเดียวกับของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในปี 51 บริษัทมีค่าใช้จ่ายสำหรับตั้งสำรองอยู่ที่ 39 ล้านบาท ลดจาก 81 ล้านบาทในปี 50 ส่วนผลงาน 3 ไตรมาสแรกปี 52 พบว่ามีกำไรสุทธิ 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ส่วนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 9.0% ณ สิ้นปี 51 ขณะอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังอยู่ที่ระดับ 4.7%
ทริสฯ กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทอยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากคุณภาพเครดิตของลูกค้าที่ลดลงช่วงภาวะเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนและการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทให้ความสำคัญ แต่ก็ได้ประโยชน์ในแง่ของต้นทุนดำเนินงานในระดับต่ำ โดยปี 51 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงและช่วง 3ไตรมาสแรกปี 52 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 9.5%
โดยอันดับเครดิตของธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ปรับเพิ่มเป็นระดับ " AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ การขยายสินเชื่อแม้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และการรักษาต้นทุนการดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำ ทว่าถูกลดทอนจากการมีคุณภาพของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความเสี่ยงมากกว่าลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable"หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสฯว่าแนวทางธุรกิจของบริษัทจะยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาและคาดว่าบริษัทจะดำรงเงินสำรองสำหรับหนี้เสียในระดับพอเพียง
ทริสฯรายงานว่า สินเชื่อรวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ 12 รายในฐานข้อมูลของทริสฯ ยังเติบโตระดับต่ำ และบริษัท อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง มีสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ณ สิ้น ธ.ค. 51 ลดจากอันดับ 1 หลังการควบรวมกิจการกับผู้ประกอบการสัญชาติญี่ปุ่น 2 ราย แต่ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 17.2% ในปี 51
ในปี 51 บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลรับสุทธิที่ 278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 227 ล้านบาทในปี 50 สอดคล้องการขยายตัวของสินเชื่อรวมที่ระดับ 27.5% เป็น 7,394 ล้านบาทในปี 51 จาก 5,798 ล้านบาทในปี 50 สินเชื่อคงค้างขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็น 8,304 ล้านบาท ณ สิ้น ก.ย. 52 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ผลจากการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นมากในปี 50 โดยบริษัทเพิ่มสัดส่วนเงินสำรองทั่วไปมากกว่าที่กำหนดเพื่อให้สามารถรองรับคุณภาพสินทรัพย์ที่มีโอกาสด้อยค่าลงและใช้เป็นเงินสำรองเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการตั้งสำรองให้เป็นมาตรฐานเดียวกับของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในปี 51 บริษัทมีค่าใช้จ่ายสำหรับตั้งสำรองอยู่ที่ 39 ล้านบาท ลดจาก 81 ล้านบาทในปี 50 ส่วนผลงาน 3 ไตรมาสแรกปี 52 พบว่ามีกำไรสุทธิ 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ส่วนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 9.0% ณ สิ้นปี 51 ขณะอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังอยู่ที่ระดับ 4.7%
ทริสฯ กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทอยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากคุณภาพเครดิตของลูกค้าที่ลดลงช่วงภาวะเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนและการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทให้ความสำคัญ แต่ก็ได้ประโยชน์ในแง่ของต้นทุนดำเนินงานในระดับต่ำ โดยปี 51 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงและช่วง 3ไตรมาสแรกปี 52 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 9.5%