นายตัน เล เยน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสนอขายหุ้น (ไฟลิ่ง) ให้กับทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 และหลังจาก ก.ล.ต.อนุมัติ คาดว่าหุ้นของบริษัทจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ใม่เกินไตรมาส 2 ปี 2553 และ แต่งตั้ง บล.เคที ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้
โดยหุ้นสามัญที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น หรือ 25.53 % ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท บริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 200 ล้านบาท และจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายฐานธุรกิจสินเชื่อแฟคเตอริ่ง และสินเชื่อทางการเงินอื่น ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปี 52 ทั้งปีคาดว่าจะมียอดการใช้สินเชื่อประมาณ 13,500 – 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์กำไรไว้ที่ 71 ล้านบาท ส่วนปี53 บริษัทตั้งเป้ายอดการใช้สินเชื่ออยู่ที่ 18,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30%
" การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 470 ล้านบาท และเชื่อว่าบริษัทจะสามารถระดมเงินด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันมากขึ้นและสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นด้วย " นายตัน เล เยนกล่าว
นายตันกล่าวว่าจุดเด่นที่สำคัญของบริษัทคือการให้บริการที่รวดเร็ว ที่อนุมัติวงเงินได้ภายใน 7-10 วันทำการ และเมื่อลูกค้านำเอกสารทางการค้าเพื่อมาขอรับเงินรับชำระล่วงหน้าก่อน บริษัทสามารถโอนเงินให้ลูกค้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง และวงเงินเบื้องต้นที่โอนให้อาจสูงถึง 90 % ของมูลค่าในเอกสารทางการค้า บริการที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของบริษัทอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำธุรกรรมทั้งหลายผ่านระบบออนไลน์ (E-Factoring) อย่างสมบูรณ์แบบครบวงจร ลูกค้าจะได้รับความสะดวกรวดเร็วในการบริการ และสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงิน หรือ สถานะทางบัญชีของตนเองได้แบบ real time
ปัจจุบัน บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้บริการด้านสินเชื่อแฟคเตอริ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนในรูปแบบของการรับซื้อลูกหนี้ทางการค้า ทั้งที่เป็นการค้าในประเทศและต่างประเทศ และยังมีบริการทางการเงินรูปแบบอื่นๆ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ฟิลลิป แคปปิตอล กรุ๊ป (Phillip Capital Group) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่ประกอบธุรกิจด้านการเงิน ค้าหลักทรัพย์ และการบริหารจัดการกองทุน มีบริษัทในประเทศต่างๆ ทั้งในแถบทวีปยุโรปและเอเชียกว่า 11 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (สิงคโปร์) ถือหุ้นใน ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) กว่า 98 % แต่ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) แล้ว สัดส่วนถือหุ้นเหลือ 73%
โดยหุ้นสามัญที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น หรือ 25.53 % ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท บริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 200 ล้านบาท และจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายฐานธุรกิจสินเชื่อแฟคเตอริ่ง และสินเชื่อทางการเงินอื่น ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปี 52 ทั้งปีคาดว่าจะมียอดการใช้สินเชื่อประมาณ 13,500 – 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์กำไรไว้ที่ 71 ล้านบาท ส่วนปี53 บริษัทตั้งเป้ายอดการใช้สินเชื่ออยู่ที่ 18,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30%
" การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 470 ล้านบาท และเชื่อว่าบริษัทจะสามารถระดมเงินด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันมากขึ้นและสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นด้วย " นายตัน เล เยนกล่าว
นายตันกล่าวว่าจุดเด่นที่สำคัญของบริษัทคือการให้บริการที่รวดเร็ว ที่อนุมัติวงเงินได้ภายใน 7-10 วันทำการ และเมื่อลูกค้านำเอกสารทางการค้าเพื่อมาขอรับเงินรับชำระล่วงหน้าก่อน บริษัทสามารถโอนเงินให้ลูกค้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง และวงเงินเบื้องต้นที่โอนให้อาจสูงถึง 90 % ของมูลค่าในเอกสารทางการค้า บริการที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของบริษัทอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำธุรกรรมทั้งหลายผ่านระบบออนไลน์ (E-Factoring) อย่างสมบูรณ์แบบครบวงจร ลูกค้าจะได้รับความสะดวกรวดเร็วในการบริการ และสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงิน หรือ สถานะทางบัญชีของตนเองได้แบบ real time
ปัจจุบัน บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้บริการด้านสินเชื่อแฟคเตอริ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนในรูปแบบของการรับซื้อลูกหนี้ทางการค้า ทั้งที่เป็นการค้าในประเทศและต่างประเทศ และยังมีบริการทางการเงินรูปแบบอื่นๆ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ฟิลลิป แคปปิตอล กรุ๊ป (Phillip Capital Group) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่ประกอบธุรกิจด้านการเงิน ค้าหลักทรัพย์ และการบริหารจัดการกองทุน มีบริษัทในประเทศต่างๆ ทั้งในแถบทวีปยุโรปและเอเชียกว่า 11 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (สิงคโปร์) ถือหุ้นใน ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) กว่า 98 % แต่ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) แล้ว สัดส่วนถือหุ้นเหลือ 73%