ใน “กษัตริย์ปราชญ์กับศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ” ผมได้เปรียบปัญญาบารมีของพระเจ้าอยู่หัวกับเพลโต ปฐมบรมศาสดาทฤษฎีการเมือง และได้เปรียบเทียบพระราชดำรัสเรื่องการแบ่งหน้าที่กันทำให้ดีที่สุดตามฐานะ เพื่อให้เกิดความสงบและสวัสดีต่อส่วนรวมว่า มีหลักคล้ายศาสตร์แห่งการปกครองของเพลโต
พระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์ปราชญ์ แต่มิได้ทรงมีฐานะหรืออำนาจเป็น ruler ตามคำนิยามของเพลโต
Rulers ของประเทศไทย ได้แก่ทหารและนักการเมืองที่ผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจ เป็นลูกผสมระหว่าง timarchy กับ plutocracy ของเพลโต ซึ่งเป็นการปกครองของชนชั้นปกครองที่ใช้อำนาจปราศจากปัญญา และมีความทะเยอทะยานเห็นแก่ความยิ่งใหญ่และประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
การปกครองประเทศของชนชั้นปกครองดังกล่าว มิได้สอดคล้องกับศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ หรือการกระทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 11 ส.ค. 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเล่าตำนานถึงยุคที่มีดี 1 ส่วน เลว 3 ส่วน ที่เขาถือว่าเป็นกลียุค กลียุค ได้แก่ ยุคที่เราอยู่ในปัจจุบัน
พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2522 ว่า “บ้านเมืองกำลังล่มจม ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร”
รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ หรือชาวไทยให้ความสนใจหรือตอบสนองพระผู้ทรงห่วงใยพสกนิกรและประเทศชาติว่าอย่างไรหรือไม่ เพราะอะไร
ผมเห็นว่าทุกฝ่ายสนใจและปฏิบัติตามไม่พอเพียง โดยเฉพาะพระราชดำรัสสำคัญเรื่องคอร์รัปชัน ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ถ้าโกงแม้เพียงบาทเดียว ก็ขอสาปแช่งให้มีอันเป็นไป
ผู้อ่าน คือ“ Yellow Maple” ไม่มองหรือมองไม่เห็นว่าผมต้องการสื่อเรื่องอะไร จึงโพสต์โจมตีผมอย่างดุเดือดว่ามุ่งทำลายนายกรัฐมนตรี ท่านคงไม่เคยอ่านว่าผมวิเคราะห์ รสช. รัฐบาลทักษิณ คมช. หรือรัฐบาลสมัคร-สมชายมากกว่าอภิสิทธิ์เป็นไหนๆ และไม่เคยอ่านหรือฟังผมพูดว่าดีชั่วอย่างไรเราก็ต้องช่วยกันรักษารัฐบาลอภิสิทธิ์ไว้ มิฉะนั้นเราจะได้ระบอบทักษิณกลับมา
แต่เราจำต้องกระตุ้นให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำหน้าที่ อย่าให้บ้านเมืองเสียหาย
การอัญเชิญพระราชปรารภมาเพื่อเตือนให้นำไปปฏิบัตินั้นย่อมถูกต้อง และมิใช่การดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมืองแน่นอน
Yellow Maple เขียนมา 360 คำ มีบางส่วนดังนี้ “อยากบอกให้นายปราโมทย์ นาครทรรพ รับทราบด้วยว่า คนไทยหลายๆ คน มีความพอใจ และชื่นชอบกับนายกรัฐมนตรีคนนี้ และเห็นว่าอย่างน้อยก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา ตราบใดที่ประเทศชาติยังไม่เกิดวิกฤต หรือมีสุญญากาศทางการเมือง ก็ขอให้นายปราโมทย์ นาครทรรพ เลิกดึงพระองค์ท่านลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองเสียที มิฉะนั้นจะเข้าทางพวกแก๊งเสื้อแดงที่กำลังคอยจับผิดและจาบจ้วงสถาบันอยู่”
ผมรับทราบ แต่ขอติงว่า ทัศนะข้างต้นนั่นแหละเป็นคุณกับทักษิณ เป็นอันตรายต่ออภิสิทธิ์ และเป็นอันตรายต่อสถาบัน ผมเป็นนักวิชาการที่เขียนถึงสถาบันมาหลายสิบปีแล้วด้วยความเทิดทูน เที่ยงตรงตามหลักวิชา ไม่เคยล่วงละเมิด ผมอยากให้ Yellow Maple ไปอ่านพระราชดำรัสเรื่องพระราชอำนาจที่ผมเคยอัญเชิญมาเขียนไว้
ผมเชื่อว่า ตราบใดที่รัฐบาลและนักการเมืองไม่เข้าใจ ไม่เคารพ และกีดกันพระราชอำนาจตามหลักรัฐธรรมนูญและจารีตประชาธิปไตย ตราบนั้นเมืองไทยจะยังไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีความสงบสุข
เพลโตย้ำนักหนาว่า ตามใดที่ยังไม่มีกษัตริย์และชนชั้นปกครองที่เป็นปราชญ์ หรือถ้าหากผู้มีอำนาจและชนชั้นปกครองยังไม่เข้าใจ ไม่มุ่งมั่นศึกษา ให้เปรื่องปราชญ์เข้าใจศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ ตราบนั้น บ้านเมืองจะถูกสาปให้ไปสู่ความล่มจมหรือกลียุคแน่นอน
ผมเห็นใจที่นายกรัฐมนตรีรับมรดกการเมืองและระบบราชการที่ย่ำแย่มาจากระบอบทักษิณ ในวันที่ 22 ธันวาคม 2551 หลังกลับจากเข้าเฝ้าฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้น้อมรับพระราช ดำรัสใส่เกล้า และย้ำว่า “บ้านเมืองของเราวันนี้ ประสบกับความยากลำบากมาต่อเนื่องพอสมควร มันไม่มีคนใด ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือ ครม.ที่จะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ”
ผมนึกถึงพระราชดำรัสวันนั้นตอนหนึ่ง “ถ้าทำไม่ดีจะเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง หรือคนทั่วๆ ไปทำไม่ดี คนหนึ่งคนใดก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมได้” หาก คนหนึ่งคนใด ที่ว่านั้นจะใช่หรือมิใช่ทักษิณ ผมขอภาวนาว่าอย่าให้คนนั้นเป็นอภิสิทธิ์
ทางรอดอันประเสริฐของชาติและของอภิสิทธิ์ย่อมรวมถึงการพึ่งพระปัญญาบารมีของกษัตริย์ปราชญ์อีกทางหนึ่งด้วย แล้วความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็จะตามมาเอง
ผมมหัศจรรย์ใจที่ 2,000 กว่าปีผ่านไปแล้ว รัฐบาลหรือรัฐนาวาที่เพลโตเปรียบไว้ จะยังสามารถนำมาใช้กับการเมืองการปกครองประเทศไทยได้
“เจ้าของประเทศมีกำลังและความใหญ่โตยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ในเรือ แต่ทว่าพากันหูตึงและสายตาสั้นเสียทั้งหมด และก็ไม่มีความรู้เรื่องการเดินเรือเอาเสียเลย ในขณะที่ พวกลูกเรือก็ทุ่มเถียงกันอึงมี่ ต่างก็คิดว่าตนควรจะเป็นผู้มีสิทธิถือพวงมาลัยขับเรือมากกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่เคยเรียนวิชาขับเรือ หรือจะอ้างว่าเคยมีครู หรือเคยเรียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ซ้ำยังอวดดีถือว่าวิชาขับเรือนั้นสอนกันไม่ได้
ใครที่เถียงว่าได้แทบจะถูกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ พวกเขาต่างก็วิ่งกรูเข้าหาผู้บังคับการเรือผู้เป็นนาย ทั้งกราบไหว้อ้อนวอนและทำทุกอย่างที่จะให้นายไว้ใจมอบพวงมาลัยเรือให้ บางทีพวกเขาก็ผิดหวัง แต่เขาก็พากันแก้ลำเข่นฆ่าหรือโยนผู้ที่นายมอบหมายให้ถือพวงมาลัยทิ้งลงทะเลเสีย แล้วก็ครอบงำนายด้วยเครื่องดองของเมา สุรานารีหรือด้วยวิธีการอื่นๆ จนตนเองได้เป็นผู้กุมอำนาจในเรือ สามารถเบิกจ่ายเครื่องของและเสบียงกรังในเรือมาบำรุงบำเรอตนเองและพรรคพวกได้ง่ายดาย
ยิ่งกว่านั้น เขาก็สรรเสริญเยินยอใครที่ฉลาดสามารถหาวิธีการและเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมบังคับนายของตนจนอยู่หมัด ใครก็ตามที่เป็นกัปตันอาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่มีประโยชน์ พวกเขาหารู้ไม่ว่า กัปตันเรือที่แท้จริงนั้นจะต้องศึกษาดาราศาสตร์ ฤดูกาลต่างๆ ของปี และวิถีของลม ตลอดจนความรู้เรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนและบังคับเรืออย่างแท้จริง ซ้ำมิหนำพวกเขายังไม่เคยคิดที่จะเรียนหรือฝึกหัดหรือแม้กระทั่งจะคิดว่านาวิกศาสตร์และวิชากัปตันเรือนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเล่าเรียนได้ เมื่อเป็นดั่งนี้ เราจะเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่จะเกิดบนเรือนั้น ก็คือการถากถางดูถูกกัปตันมืออาชีพว่าเป็นผู้เหม่อมองดูแต่หมู่ดารา ดีแต่พล่ามพูด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง สู้พวกเขาที่พร้อมทุกอย่างในการนำเรือออกสู่ทะเลไม่ได้”
ขอให้ท่านผู้อ่านนำมาคิดเปรียบเทียบกับเมืองไทยดูเอาเองเถิด
เรือลำนั้น จะไปไหน ไปอย่างไร ไม่มีผู้ใดบอกได้ นอกจากจะเดาว่าจะต้องอับปางล่มจมในที่สุด
ขออวยพรให้รัฐนาวาอภิสิทธิ์จงแคล้วคลาด อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
พระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์ปราชญ์ แต่มิได้ทรงมีฐานะหรืออำนาจเป็น ruler ตามคำนิยามของเพลโต
Rulers ของประเทศไทย ได้แก่ทหารและนักการเมืองที่ผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจ เป็นลูกผสมระหว่าง timarchy กับ plutocracy ของเพลโต ซึ่งเป็นการปกครองของชนชั้นปกครองที่ใช้อำนาจปราศจากปัญญา และมีความทะเยอทะยานเห็นแก่ความยิ่งใหญ่และประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
การปกครองประเทศของชนชั้นปกครองดังกล่าว มิได้สอดคล้องกับศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ หรือการกระทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 11 ส.ค. 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเล่าตำนานถึงยุคที่มีดี 1 ส่วน เลว 3 ส่วน ที่เขาถือว่าเป็นกลียุค กลียุค ได้แก่ ยุคที่เราอยู่ในปัจจุบัน
พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2522 ว่า “บ้านเมืองกำลังล่มจม ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร”
รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ หรือชาวไทยให้ความสนใจหรือตอบสนองพระผู้ทรงห่วงใยพสกนิกรและประเทศชาติว่าอย่างไรหรือไม่ เพราะอะไร
ผมเห็นว่าทุกฝ่ายสนใจและปฏิบัติตามไม่พอเพียง โดยเฉพาะพระราชดำรัสสำคัญเรื่องคอร์รัปชัน ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ถ้าโกงแม้เพียงบาทเดียว ก็ขอสาปแช่งให้มีอันเป็นไป
ผู้อ่าน คือ“ Yellow Maple” ไม่มองหรือมองไม่เห็นว่าผมต้องการสื่อเรื่องอะไร จึงโพสต์โจมตีผมอย่างดุเดือดว่ามุ่งทำลายนายกรัฐมนตรี ท่านคงไม่เคยอ่านว่าผมวิเคราะห์ รสช. รัฐบาลทักษิณ คมช. หรือรัฐบาลสมัคร-สมชายมากกว่าอภิสิทธิ์เป็นไหนๆ และไม่เคยอ่านหรือฟังผมพูดว่าดีชั่วอย่างไรเราก็ต้องช่วยกันรักษารัฐบาลอภิสิทธิ์ไว้ มิฉะนั้นเราจะได้ระบอบทักษิณกลับมา
แต่เราจำต้องกระตุ้นให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำหน้าที่ อย่าให้บ้านเมืองเสียหาย
การอัญเชิญพระราชปรารภมาเพื่อเตือนให้นำไปปฏิบัตินั้นย่อมถูกต้อง และมิใช่การดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมืองแน่นอน
Yellow Maple เขียนมา 360 คำ มีบางส่วนดังนี้ “อยากบอกให้นายปราโมทย์ นาครทรรพ รับทราบด้วยว่า คนไทยหลายๆ คน มีความพอใจ และชื่นชอบกับนายกรัฐมนตรีคนนี้ และเห็นว่าอย่างน้อยก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา ตราบใดที่ประเทศชาติยังไม่เกิดวิกฤต หรือมีสุญญากาศทางการเมือง ก็ขอให้นายปราโมทย์ นาครทรรพ เลิกดึงพระองค์ท่านลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองเสียที มิฉะนั้นจะเข้าทางพวกแก๊งเสื้อแดงที่กำลังคอยจับผิดและจาบจ้วงสถาบันอยู่”
ผมรับทราบ แต่ขอติงว่า ทัศนะข้างต้นนั่นแหละเป็นคุณกับทักษิณ เป็นอันตรายต่ออภิสิทธิ์ และเป็นอันตรายต่อสถาบัน ผมเป็นนักวิชาการที่เขียนถึงสถาบันมาหลายสิบปีแล้วด้วยความเทิดทูน เที่ยงตรงตามหลักวิชา ไม่เคยล่วงละเมิด ผมอยากให้ Yellow Maple ไปอ่านพระราชดำรัสเรื่องพระราชอำนาจที่ผมเคยอัญเชิญมาเขียนไว้
ผมเชื่อว่า ตราบใดที่รัฐบาลและนักการเมืองไม่เข้าใจ ไม่เคารพ และกีดกันพระราชอำนาจตามหลักรัฐธรรมนูญและจารีตประชาธิปไตย ตราบนั้นเมืองไทยจะยังไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีความสงบสุข
เพลโตย้ำนักหนาว่า ตามใดที่ยังไม่มีกษัตริย์และชนชั้นปกครองที่เป็นปราชญ์ หรือถ้าหากผู้มีอำนาจและชนชั้นปกครองยังไม่เข้าใจ ไม่มุ่งมั่นศึกษา ให้เปรื่องปราชญ์เข้าใจศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ ตราบนั้น บ้านเมืองจะถูกสาปให้ไปสู่ความล่มจมหรือกลียุคแน่นอน
ผมเห็นใจที่นายกรัฐมนตรีรับมรดกการเมืองและระบบราชการที่ย่ำแย่มาจากระบอบทักษิณ ในวันที่ 22 ธันวาคม 2551 หลังกลับจากเข้าเฝ้าฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้น้อมรับพระราช ดำรัสใส่เกล้า และย้ำว่า “บ้านเมืองของเราวันนี้ ประสบกับความยากลำบากมาต่อเนื่องพอสมควร มันไม่มีคนใด ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือ ครม.ที่จะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ”
ผมนึกถึงพระราชดำรัสวันนั้นตอนหนึ่ง “ถ้าทำไม่ดีจะเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง หรือคนทั่วๆ ไปทำไม่ดี คนหนึ่งคนใดก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมได้” หาก คนหนึ่งคนใด ที่ว่านั้นจะใช่หรือมิใช่ทักษิณ ผมขอภาวนาว่าอย่าให้คนนั้นเป็นอภิสิทธิ์
ทางรอดอันประเสริฐของชาติและของอภิสิทธิ์ย่อมรวมถึงการพึ่งพระปัญญาบารมีของกษัตริย์ปราชญ์อีกทางหนึ่งด้วย แล้วความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็จะตามมาเอง
ผมมหัศจรรย์ใจที่ 2,000 กว่าปีผ่านไปแล้ว รัฐบาลหรือรัฐนาวาที่เพลโตเปรียบไว้ จะยังสามารถนำมาใช้กับการเมืองการปกครองประเทศไทยได้
“เจ้าของประเทศมีกำลังและความใหญ่โตยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ในเรือ แต่ทว่าพากันหูตึงและสายตาสั้นเสียทั้งหมด และก็ไม่มีความรู้เรื่องการเดินเรือเอาเสียเลย ในขณะที่ พวกลูกเรือก็ทุ่มเถียงกันอึงมี่ ต่างก็คิดว่าตนควรจะเป็นผู้มีสิทธิถือพวงมาลัยขับเรือมากกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่เคยเรียนวิชาขับเรือ หรือจะอ้างว่าเคยมีครู หรือเคยเรียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ซ้ำยังอวดดีถือว่าวิชาขับเรือนั้นสอนกันไม่ได้
ใครที่เถียงว่าได้แทบจะถูกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ พวกเขาต่างก็วิ่งกรูเข้าหาผู้บังคับการเรือผู้เป็นนาย ทั้งกราบไหว้อ้อนวอนและทำทุกอย่างที่จะให้นายไว้ใจมอบพวงมาลัยเรือให้ บางทีพวกเขาก็ผิดหวัง แต่เขาก็พากันแก้ลำเข่นฆ่าหรือโยนผู้ที่นายมอบหมายให้ถือพวงมาลัยทิ้งลงทะเลเสีย แล้วก็ครอบงำนายด้วยเครื่องดองของเมา สุรานารีหรือด้วยวิธีการอื่นๆ จนตนเองได้เป็นผู้กุมอำนาจในเรือ สามารถเบิกจ่ายเครื่องของและเสบียงกรังในเรือมาบำรุงบำเรอตนเองและพรรคพวกได้ง่ายดาย
ยิ่งกว่านั้น เขาก็สรรเสริญเยินยอใครที่ฉลาดสามารถหาวิธีการและเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมบังคับนายของตนจนอยู่หมัด ใครก็ตามที่เป็นกัปตันอาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่มีประโยชน์ พวกเขาหารู้ไม่ว่า กัปตันเรือที่แท้จริงนั้นจะต้องศึกษาดาราศาสตร์ ฤดูกาลต่างๆ ของปี และวิถีของลม ตลอดจนความรู้เรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนและบังคับเรืออย่างแท้จริง ซ้ำมิหนำพวกเขายังไม่เคยคิดที่จะเรียนหรือฝึกหัดหรือแม้กระทั่งจะคิดว่านาวิกศาสตร์และวิชากัปตันเรือนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเล่าเรียนได้ เมื่อเป็นดั่งนี้ เราจะเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่จะเกิดบนเรือนั้น ก็คือการถากถางดูถูกกัปตันมืออาชีพว่าเป็นผู้เหม่อมองดูแต่หมู่ดารา ดีแต่พล่ามพูด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง สู้พวกเขาที่พร้อมทุกอย่างในการนำเรือออกสู่ทะเลไม่ได้”
ขอให้ท่านผู้อ่านนำมาคิดเปรียบเทียบกับเมืองไทยดูเอาเองเถิด
เรือลำนั้น จะไปไหน ไปอย่างไร ไม่มีผู้ใดบอกได้ นอกจากจะเดาว่าจะต้องอับปางล่มจมในที่สุด
ขออวยพรให้รัฐนาวาอภิสิทธิ์จงแคล้วคลาด อย่าเป็นเช่นนั้นเลย