คัมภีร์เต๋าเต๊กเก็งระบุว่า ถ้าไม่อยากผิดหวังก็อย่ามีความหวัง เพราะเมื่อไม่มีความหวังหรือตั้งความหวังไว้กับสิ่งใดๆ แล้วก็จะไม่มีวันผิดหวังในเรื่องนั้นๆ แต่กระนั้นก็ยังเป็นวิสัยคนเราที่ต้องมีความหวัง
กระทั่งหลายคนเชื่อว่าความหวังก็ประดุจดังอาหารชนิดหนึ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความกระชุ่มกระชวยกระฉับกระเฉง และหลายคนที่เชื่อแบบนี้ก็ได้กลายเป็นนักเก็งกำไร ไม่ว่าเป็นนักเล่นหุ้น หรือนักเล่นหวย ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน หวยใต้ดิน หรือล็อตเตอรี่ก็ตามที
แต่ในฐานะที่บ้านเมืองของเราเป็นเมืองแห่งพระศาสนา จะไม่หวังเสียเลยก็ไม่ได้ จะยึดมั่นในความหวังมากก็ไม่ดี จึงควรตั้งความหวังไว้แต่พอประมาณ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความหวังนั้นมากเกินไป เอากันแค่เพียงให้มีเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจตามวิสัยปุถุชนก็เป็นพอ
และขอบอกไว้ตามตรงว่า การลองตั้งความหวังในครั้งนี้ไม่ได้หวังอะไรว่าจะเป็นมรรคเป็นผลเลยแม้แต่น้อย แต่เชื่อว่าจะเกิดผลข้างเคียง คืออาจก่อเกิดเป็นประกายทางความคิดให้แก่การคิดอ่านแก้ไขปัญหาชาติและประชาชนในอนาคตกาล
ในปีใหม่นี้เขาว่ากันว่าเป็นปีเสือดุ เพราะเป็นปีนักษัตรที่เป็นปีขาล แต่ก็ยังเถียงกันไม่เลิกว่าความเป็นปีขาลนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อใด
บ้างก็ว่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 บ้างก็ว่าเริ่มก่อนวันตรุษจีน 4-5 วัน บ้างก็ว่าเริ่มตอนวันตรุษจีน บ้างก็ว่าเริ่มตอนวันสงกรานต์ บ้างก็ว่าเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ก็ว่ากันไปตามแต่ที่จะยึดถือ
เพราะในเรื่องนี้แม้เถียงกันมาถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานใดเสนอตัวเข้าเป็นผู้รับผิดชอบหาข้อยุติที่ลงตัวและยอมรับกันได้เลย ก็ต้องปล่อยให้เถียงกันไปเรื่อยๆ แต่เอาล่ะโดยภาพรวมนั้นปีหน้าก็คือปีขาล เป็นปีเสือ แต่จะเริ่มวันไหนก็ตามแต่ใจจะยึดถือกันเถิด
ก็เป็นธรรมดาของเสือย่อมมีตั้งแต่เสือแรกเกิด เสือหนุ่ม เสือแก่ เสือป่วย และเสือตาย มีทั้งเสืออ้วน เสือผอม เสือลำบาก เสือโซ ยกเว้นก็แต่เรื่องเสือกะบาก ที่แม้เป็นเสือก็ไม่ใช่เรื่องของเสือ ดังนั้นเมื่อย่างเข้าปีขาล จะว่าเป็นปีเสือดุเสมอไปย่อมไม่ได้
ปีขาลหมายถึงอังคาร ซึ่งตลอดปี 2553 เป็นอังคารในภาคกลางวัน โคจรระหว่างราศีกรกฎถึงราศีธนู เป็นห้วงเวลาของเสือหลับ เสือพักผ่อน และเสือล่าเหยื่อ ไม่ใช่เรื่องเสือดุแต่ประการใด และเพราะเป็นเวลากลางวันซึ่งเสือนั้นทนร้อนไม่ค่อยได้จึงกลายเป็นเสือลำบาก และมองเห็นตัวได้โดยง่าย จึงเป็นอันตรายกับเสือ
วันก่อนได้กล่าวถึงคติคนฆ่าเสือไว้บ้างแล้ว ว่าคนฆ่าเสือนั้นไม่ใช่เพราะเกลียดแค้นชิงชังแต่ประการใด แต่เพราะคนกลัวเสือจึงฆ่าเสือนั้นเสีย
ดังนั้นในปีหน้าโดยเนื้อหารวมความย่อมถือได้ว่าเป็นปีเสือดับ คือความลำบากร้อนรนทุรนทุรายและอันตรายจะเกิดขึ้นรอบด้าน ในที่สุดก็ถูกคนฆ่าอันเป็นธรรมดาธรรมชาติที่เป็นไปเพราะคนกลัวเสือ
ในวันนี้ก็มีเสียงของคนกลัวเสือดังกระหึ่มขึ้นเป็นระลอกๆ เช่น น้ำคำของผู้บัญชาการทหารบกที่ว่า ขณะนี้มีความรุนแรงเกินไปแล้วก็ดี น้ำเสียงของสื่อมวลชนใหญ่ระดับสุทธิชัย หยุ่น ที่เขียนลงคอลัมน์กาแฟดำ เรียกร้องให้ประชาชนปกป้องคุ้มครองสื่อจากการคุกคามที่จะมีการบุกไปเยี่ยมก็ดี ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงอาการกลัวเสือ
เมื่อกลัวเสือแล้วก็เตรียมตัวพร้อมระดมพลชักชวนกันให้ป้องกันและฆ่าเสือในที่สุด ในธรรมชาติเป็นเช่นนี้ ในสังคมก็เป็นเช่นนี้ ในปีขาลนักษัตรก็ย่อมเป็นเช่นนี้
นั่นเป็นเรื่องของความเป็นไปแห่งกรรม ที่ใครทำกรรมใดไว้ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้น แต่สำหรับชาวบ้านอย่างเราท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียอะไรด้วย มีแต่ต้องรับชะตากรรมเป็นเวรเป็นกรรมหรือเป็นทุกข์เป็นสุขเท่านั้น ก็คงได้แต่ติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยและความวิตกกังวล ดังนั้นยามนี้จึงเหมาะที่จะมาตั้งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กันบ้าง
ปีใหม่นี้เราควรจะตั้งความหวังอะไรบ้าง? เพราะกว่า 60 ปีที่ผ่านมาสังคมไทยบ้าคลั่งโต้เถียงกันแต่เรื่องประชาธิปไตยและเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมืองเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และวันนี้ก็ผลิดอกออกผลให้เห็นแล้วว่าทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสื่อมโทรม จนกระทั่งวิกฤตถึงขั้นที่บ้านเมืองจะสิ้นสลายเต็มทีแล้ว
ดังนั้นเราควรที่จะมาตั้งความหวังในสิ่งที่จะบังเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนกันบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ ซึ่งพิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่าหากได้มีการทำให้เกิดขึ้นใน 4-5 เรื่องเหล่านี้ ประเทศไทยและสังคมไทยของเราก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไป จนหลุดพ้นจากความล้าหลังดังที่เป็นอยู่ ถึงซึ่งความเจริญและความเป็นปกติสุขโดยมิพักต้องสงสัย
ประการแรก เป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉินมาก คือเรื่องยุทธศาสตร์รถไฟ ที่ต้องผลักดันให้มีการฟื้นฟูพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 กลับมาใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบก และปรับเปลี่ยนเป็นระบบรางมาตรฐานกว้าง 1.43 เมตร รวมทั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟไทยเข้ากับสายจีน-เอเชีย ที่จะทำให้จังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟของเอเชีย และทำให้ประเทศไทยได้มาซึ่งฐานะศูนย์กลางตลาดการค้าของทวีปนี้
ควบคู่กันนั้น ก็ผลักดันให้มีการสร้างรถไฟความเร็วสูง 5 สาย จากกรุงเทพฯ ถึงโคราช กรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์ กรุงเทพฯ ถึงระยอง กรุงเทพฯ ถึงกาญจนบุรี และกรุงเทพฯ ถึงประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ระยะทางราว 200 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ สามารถเชื่อมถึงกันได้ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็จะแก้ไขปัญหารากฐานของบ้านเมืองได้ไปกว่าครึ่ง
ประการที่สอง สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศชาติและประชาชนมูลค่ากว่า 6 ล้านล้านบาท ปลดแอกที่ดิน 100 ล้านไร่ที่หน่วยงานของรัฐยึดครองจากประชาชนคืนแก่ประชาชน คงสงวนไว้สำหรับแผ่นดินเพียง 100 ล้านไร่ก็เหลือเฟือแล้ว
นั่นคือการออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่ที่ดินที่ราษฎรปกครองทำกินในขอบเขตทั่วประเทศ โดยที่ดินเหล่านั้นหน่วยงานของรัฐ 8 หน่วยได้เข้าไปยึดครองเอาเป็นสิทธิ์ และทำให้ราษฎรกลายเป็นผู้ผิดกฎหมาย เป็นต้นเหตุของความยากจน ขาดแคลนและล้าหลังของประเทศและประชาชน
ผลจากการออกเอกสารสิทธิ์ จะทำให้ที่ดิน 100 ล้านไร่ทั่วประเทศพ้นจากความล้าหลัง ขาดแคลน ทำให้ประชาชนได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมูลค่าถึง 6 ล้านล้านบาท เพิ่มความมั่งคั่งแก่ชาติถึง 6 ล้านล้านบาท และเพิ่มรายได้แก่รัฐในทางภาษีอากรปีละประมาณ 50,000 ล้านบาท ทำให้พื้นที่อีก 1 ใน 3 ของประเทศเป็นพื้นที่ที่สามารถลงทุน มีการจ้างวานและมีการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองได้
ประการที่สาม ดำเนินการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีรูปแบบเดียวคือรูปแบบเทศบาลทั่วประเทศ ยกเว้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ เช่น กรุงเทพมหานคร และถอยร่นราชการส่วนภูมิภาคให้เหลือระดับจังหวัด เพื่อประหยัดรายจ่ายแผ่นดิน เพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาประเทศ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่นกันเองอย่างเต็มรูปแบบเช่นอารยะประเทศ
การปฏิรูปในส่วนนี้จะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งกระบวน โดยเฉพาะตำรวจและอัยการ จะต้องเป็นหลักเป็นฐาน เป็นต้นและกลางกระแสธารแห่งความยุติธรรม ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม กำจัดพาล พิทักษ์ธรรม สร้างความร่มเย็นเป็นสุขในแผ่นดินได้อย่างแท้จริง
เพื่อการนี้ ต้องยุบเลิกองค์กรหลายองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีประสิทธิผล รังแต่จะเปลืองข้าวสุก เสียข้าวสาร ผลาญภาษีของประชาชนโดยเปล่าประโยชน์ โดยการยุบเลิกไปเลย หรือการควบรวม เพื่อให้มีประสิทธิผลทางการปฏิบัติอย่างแท้จริง
ประการที่สี่ กำจัดมะเร็งร้ายของชาติอย่างเฉียบขาด ด้วยการปรับปรุงระบบการปราบปรามการทุจริตเสียใหม่ ให้มีหน่วยงานปราบปรามการทุจริตโดยเฉพาะ กำหนดเป้าหมายการปราบปรามการทุจริตที่กระทำโดยข้าราชการประจำระดับอธิบดีขึ้นไปและนักการเมืองทุกประเภท มุ่งเน้นความร่ำรวยผิดปกติเป็นหลัก สำหรับข้าราชการประจำถ้ามีทรัพย์สินเกิน 10 ล้านบาทถือว่าผิดปกติ ถ้าข้าราชการการเมืองมีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านบาทถือว่าผิดปกติ ให้ประชาชนมีอำนาจกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติได้
หากมีมูลว่าร่ำรวยผิดปกติจริงก็ให้มีผลเป็นการอายัดทรัพย์สินนั้นไว้ แล้วให้ผู้เสียหายมีสิทธิ์พิสูจน์การได้มาว่าได้มาโดยชอบหรือไม่ และได้เสียภาษีโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ หากได้มาโดยไม่ชอบให้ทรัพย์สินตกเป็นของรัฐ หากได้มาโดยชอบแต่เสียภาษีไม่ถูกต้องก็ให้กันค่าภาษีพร้อมค่าปรับและเงินเพิ่มไว้ ที่เหลือให้คืนไป โดยต้องพิสูจน์ให้เสร็จภายใน 6 เดือน หากพิสูจน์ไม่ได้ให้ตกเป็นของรัฐ
นี่คือมาตรการและวิธีการที่ชะงัดที่สุดในการปราบปรามการคอร์รัปชันซึ่งเป็นมะเร็งร้ายของบ้านเมืองในทุกวันนี้
หวังลมๆ แล้งๆ เพียงสี่ข้อนี้แหละ สำเร็จลงสักข้อเดียวไม่ว่าข้อใด บ้านเมืองของเราก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไป หลุดออกจากปลักของความวิกฤตและความสิ้นชาติได้อย่างแน่นอน.
กระทั่งหลายคนเชื่อว่าความหวังก็ประดุจดังอาหารชนิดหนึ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความกระชุ่มกระชวยกระฉับกระเฉง และหลายคนที่เชื่อแบบนี้ก็ได้กลายเป็นนักเก็งกำไร ไม่ว่าเป็นนักเล่นหุ้น หรือนักเล่นหวย ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน หวยใต้ดิน หรือล็อตเตอรี่ก็ตามที
แต่ในฐานะที่บ้านเมืองของเราเป็นเมืองแห่งพระศาสนา จะไม่หวังเสียเลยก็ไม่ได้ จะยึดมั่นในความหวังมากก็ไม่ดี จึงควรตั้งความหวังไว้แต่พอประมาณ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความหวังนั้นมากเกินไป เอากันแค่เพียงให้มีเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจตามวิสัยปุถุชนก็เป็นพอ
และขอบอกไว้ตามตรงว่า การลองตั้งความหวังในครั้งนี้ไม่ได้หวังอะไรว่าจะเป็นมรรคเป็นผลเลยแม้แต่น้อย แต่เชื่อว่าจะเกิดผลข้างเคียง คืออาจก่อเกิดเป็นประกายทางความคิดให้แก่การคิดอ่านแก้ไขปัญหาชาติและประชาชนในอนาคตกาล
ในปีใหม่นี้เขาว่ากันว่าเป็นปีเสือดุ เพราะเป็นปีนักษัตรที่เป็นปีขาล แต่ก็ยังเถียงกันไม่เลิกว่าความเป็นปีขาลนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อใด
บ้างก็ว่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 บ้างก็ว่าเริ่มก่อนวันตรุษจีน 4-5 วัน บ้างก็ว่าเริ่มตอนวันตรุษจีน บ้างก็ว่าเริ่มตอนวันสงกรานต์ บ้างก็ว่าเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ก็ว่ากันไปตามแต่ที่จะยึดถือ
เพราะในเรื่องนี้แม้เถียงกันมาถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานใดเสนอตัวเข้าเป็นผู้รับผิดชอบหาข้อยุติที่ลงตัวและยอมรับกันได้เลย ก็ต้องปล่อยให้เถียงกันไปเรื่อยๆ แต่เอาล่ะโดยภาพรวมนั้นปีหน้าก็คือปีขาล เป็นปีเสือ แต่จะเริ่มวันไหนก็ตามแต่ใจจะยึดถือกันเถิด
ก็เป็นธรรมดาของเสือย่อมมีตั้งแต่เสือแรกเกิด เสือหนุ่ม เสือแก่ เสือป่วย และเสือตาย มีทั้งเสืออ้วน เสือผอม เสือลำบาก เสือโซ ยกเว้นก็แต่เรื่องเสือกะบาก ที่แม้เป็นเสือก็ไม่ใช่เรื่องของเสือ ดังนั้นเมื่อย่างเข้าปีขาล จะว่าเป็นปีเสือดุเสมอไปย่อมไม่ได้
ปีขาลหมายถึงอังคาร ซึ่งตลอดปี 2553 เป็นอังคารในภาคกลางวัน โคจรระหว่างราศีกรกฎถึงราศีธนู เป็นห้วงเวลาของเสือหลับ เสือพักผ่อน และเสือล่าเหยื่อ ไม่ใช่เรื่องเสือดุแต่ประการใด และเพราะเป็นเวลากลางวันซึ่งเสือนั้นทนร้อนไม่ค่อยได้จึงกลายเป็นเสือลำบาก และมองเห็นตัวได้โดยง่าย จึงเป็นอันตรายกับเสือ
วันก่อนได้กล่าวถึงคติคนฆ่าเสือไว้บ้างแล้ว ว่าคนฆ่าเสือนั้นไม่ใช่เพราะเกลียดแค้นชิงชังแต่ประการใด แต่เพราะคนกลัวเสือจึงฆ่าเสือนั้นเสีย
ดังนั้นในปีหน้าโดยเนื้อหารวมความย่อมถือได้ว่าเป็นปีเสือดับ คือความลำบากร้อนรนทุรนทุรายและอันตรายจะเกิดขึ้นรอบด้าน ในที่สุดก็ถูกคนฆ่าอันเป็นธรรมดาธรรมชาติที่เป็นไปเพราะคนกลัวเสือ
ในวันนี้ก็มีเสียงของคนกลัวเสือดังกระหึ่มขึ้นเป็นระลอกๆ เช่น น้ำคำของผู้บัญชาการทหารบกที่ว่า ขณะนี้มีความรุนแรงเกินไปแล้วก็ดี น้ำเสียงของสื่อมวลชนใหญ่ระดับสุทธิชัย หยุ่น ที่เขียนลงคอลัมน์กาแฟดำ เรียกร้องให้ประชาชนปกป้องคุ้มครองสื่อจากการคุกคามที่จะมีการบุกไปเยี่ยมก็ดี ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงอาการกลัวเสือ
เมื่อกลัวเสือแล้วก็เตรียมตัวพร้อมระดมพลชักชวนกันให้ป้องกันและฆ่าเสือในที่สุด ในธรรมชาติเป็นเช่นนี้ ในสังคมก็เป็นเช่นนี้ ในปีขาลนักษัตรก็ย่อมเป็นเช่นนี้
นั่นเป็นเรื่องของความเป็นไปแห่งกรรม ที่ใครทำกรรมใดไว้ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้น แต่สำหรับชาวบ้านอย่างเราท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียอะไรด้วย มีแต่ต้องรับชะตากรรมเป็นเวรเป็นกรรมหรือเป็นทุกข์เป็นสุขเท่านั้น ก็คงได้แต่ติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยและความวิตกกังวล ดังนั้นยามนี้จึงเหมาะที่จะมาตั้งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กันบ้าง
ปีใหม่นี้เราควรจะตั้งความหวังอะไรบ้าง? เพราะกว่า 60 ปีที่ผ่านมาสังคมไทยบ้าคลั่งโต้เถียงกันแต่เรื่องประชาธิปไตยและเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมืองเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และวันนี้ก็ผลิดอกออกผลให้เห็นแล้วว่าทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสื่อมโทรม จนกระทั่งวิกฤตถึงขั้นที่บ้านเมืองจะสิ้นสลายเต็มทีแล้ว
ดังนั้นเราควรที่จะมาตั้งความหวังในสิ่งที่จะบังเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนกันบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ ซึ่งพิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่าหากได้มีการทำให้เกิดขึ้นใน 4-5 เรื่องเหล่านี้ ประเทศไทยและสังคมไทยของเราก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไป จนหลุดพ้นจากความล้าหลังดังที่เป็นอยู่ ถึงซึ่งความเจริญและความเป็นปกติสุขโดยมิพักต้องสงสัย
ประการแรก เป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉินมาก คือเรื่องยุทธศาสตร์รถไฟ ที่ต้องผลักดันให้มีการฟื้นฟูพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 กลับมาใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบก และปรับเปลี่ยนเป็นระบบรางมาตรฐานกว้าง 1.43 เมตร รวมทั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟไทยเข้ากับสายจีน-เอเชีย ที่จะทำให้จังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟของเอเชีย และทำให้ประเทศไทยได้มาซึ่งฐานะศูนย์กลางตลาดการค้าของทวีปนี้
ควบคู่กันนั้น ก็ผลักดันให้มีการสร้างรถไฟความเร็วสูง 5 สาย จากกรุงเทพฯ ถึงโคราช กรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์ กรุงเทพฯ ถึงระยอง กรุงเทพฯ ถึงกาญจนบุรี และกรุงเทพฯ ถึงประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ระยะทางราว 200 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ สามารถเชื่อมถึงกันได้ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็จะแก้ไขปัญหารากฐานของบ้านเมืองได้ไปกว่าครึ่ง
ประการที่สอง สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศชาติและประชาชนมูลค่ากว่า 6 ล้านล้านบาท ปลดแอกที่ดิน 100 ล้านไร่ที่หน่วยงานของรัฐยึดครองจากประชาชนคืนแก่ประชาชน คงสงวนไว้สำหรับแผ่นดินเพียง 100 ล้านไร่ก็เหลือเฟือแล้ว
นั่นคือการออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่ที่ดินที่ราษฎรปกครองทำกินในขอบเขตทั่วประเทศ โดยที่ดินเหล่านั้นหน่วยงานของรัฐ 8 หน่วยได้เข้าไปยึดครองเอาเป็นสิทธิ์ และทำให้ราษฎรกลายเป็นผู้ผิดกฎหมาย เป็นต้นเหตุของความยากจน ขาดแคลนและล้าหลังของประเทศและประชาชน
ผลจากการออกเอกสารสิทธิ์ จะทำให้ที่ดิน 100 ล้านไร่ทั่วประเทศพ้นจากความล้าหลัง ขาดแคลน ทำให้ประชาชนได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมูลค่าถึง 6 ล้านล้านบาท เพิ่มความมั่งคั่งแก่ชาติถึง 6 ล้านล้านบาท และเพิ่มรายได้แก่รัฐในทางภาษีอากรปีละประมาณ 50,000 ล้านบาท ทำให้พื้นที่อีก 1 ใน 3 ของประเทศเป็นพื้นที่ที่สามารถลงทุน มีการจ้างวานและมีการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองได้
ประการที่สาม ดำเนินการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีรูปแบบเดียวคือรูปแบบเทศบาลทั่วประเทศ ยกเว้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ เช่น กรุงเทพมหานคร และถอยร่นราชการส่วนภูมิภาคให้เหลือระดับจังหวัด เพื่อประหยัดรายจ่ายแผ่นดิน เพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาประเทศ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่นกันเองอย่างเต็มรูปแบบเช่นอารยะประเทศ
การปฏิรูปในส่วนนี้จะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งกระบวน โดยเฉพาะตำรวจและอัยการ จะต้องเป็นหลักเป็นฐาน เป็นต้นและกลางกระแสธารแห่งความยุติธรรม ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม กำจัดพาล พิทักษ์ธรรม สร้างความร่มเย็นเป็นสุขในแผ่นดินได้อย่างแท้จริง
เพื่อการนี้ ต้องยุบเลิกองค์กรหลายองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีประสิทธิผล รังแต่จะเปลืองข้าวสุก เสียข้าวสาร ผลาญภาษีของประชาชนโดยเปล่าประโยชน์ โดยการยุบเลิกไปเลย หรือการควบรวม เพื่อให้มีประสิทธิผลทางการปฏิบัติอย่างแท้จริง
ประการที่สี่ กำจัดมะเร็งร้ายของชาติอย่างเฉียบขาด ด้วยการปรับปรุงระบบการปราบปรามการทุจริตเสียใหม่ ให้มีหน่วยงานปราบปรามการทุจริตโดยเฉพาะ กำหนดเป้าหมายการปราบปรามการทุจริตที่กระทำโดยข้าราชการประจำระดับอธิบดีขึ้นไปและนักการเมืองทุกประเภท มุ่งเน้นความร่ำรวยผิดปกติเป็นหลัก สำหรับข้าราชการประจำถ้ามีทรัพย์สินเกิน 10 ล้านบาทถือว่าผิดปกติ ถ้าข้าราชการการเมืองมีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านบาทถือว่าผิดปกติ ให้ประชาชนมีอำนาจกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติได้
หากมีมูลว่าร่ำรวยผิดปกติจริงก็ให้มีผลเป็นการอายัดทรัพย์สินนั้นไว้ แล้วให้ผู้เสียหายมีสิทธิ์พิสูจน์การได้มาว่าได้มาโดยชอบหรือไม่ และได้เสียภาษีโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ หากได้มาโดยไม่ชอบให้ทรัพย์สินตกเป็นของรัฐ หากได้มาโดยชอบแต่เสียภาษีไม่ถูกต้องก็ให้กันค่าภาษีพร้อมค่าปรับและเงินเพิ่มไว้ ที่เหลือให้คืนไป โดยต้องพิสูจน์ให้เสร็จภายใน 6 เดือน หากพิสูจน์ไม่ได้ให้ตกเป็นของรัฐ
นี่คือมาตรการและวิธีการที่ชะงัดที่สุดในการปราบปรามการคอร์รัปชันซึ่งเป็นมะเร็งร้ายของบ้านเมืองในทุกวันนี้
หวังลมๆ แล้งๆ เพียงสี่ข้อนี้แหละ สำเร็จลงสักข้อเดียวไม่ว่าข้อใด บ้านเมืองของเราก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไป หลุดออกจากปลักของความวิกฤตและความสิ้นชาติได้อย่างแน่นอน.