ASTVผู้จัดการรายวัน - ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ "เอ็ม บี เค " ที่ระดับ A- แนวโน้ม Stable เหตุมีศูนย์การค้ากลางใจเมืองที่มีชื่อเสียงปริมาณการสัญจรของลูกค้าสูง กระแสดเงินสดดีจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก แม้จะมีรายจ่ายฝ่ายทุนค่อนข้างสูงมากตามแผนขยายกิจการระหว่างปี 53-54 ชี้อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงการลงทุนเป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสฯ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด หรือ ทริสฯ ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้ม Stable หรือคงที่ สะท้อนถึงการมีศูนย์การค้าใจกลางเมืองที่มีชื่อเสียงด้วยปริมาณการสัญจรของลูกค้าจำนวนมาก การมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญญาการเช่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถการระดมทุนโดยให้เช่าพื้นที่หรือเซ้งศูนย์การค้าระยะยาว
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าที่บริษัทจะต้องจ่ายในอนาคตซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลังสัญญาปัจจุบันหมดอายุในปี 56 และแผนการขยายธุรกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ นอกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว นโยบายขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในกิจการที่มิใช่ธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากยังเป็นประเด็นกังวลเพิ่มด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนจากศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และแม้ว่าจะมีรายจ่ายฝ่ายทุนที่ค่อนข้างสูงมากตามแผนขยายกิจการระหว่างปี 53-54 แต่คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง โดยอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงการลงทุนเป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสฯ
ทริสฯ กล่าวว่าช่วงที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปอยู่บ้าง แต่บริษัทยังมีผลประกอบการในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนอยู่ที่ระดับ 5,800 ล้านบาทช่วง 2 ปีบัญชีล่าสุด และเพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 ความสามารถการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยกำไรจากการดำเนินงานลดลงและ 33% ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 เงินทุนจากการดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาท ช่วง 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 2,720 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ช่วงปลายปี 52 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมซึ่งลดลงจาก 27% ในรอบปีบัญชี 50/51 เหลือ 22.5% ในรอบปีบัญชี 51/52 นั้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 34.8% (ยังไม่ได้ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 แม้ระดับหนี้สินจะเพิ่มขึ้นจาก 6,524 ล้านบาทเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 51 เป็น 7,800 ล้านบาทในเดือนมิ.ย. และก.ย. 52 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ที่ระดับ 37%-39% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยชะลอตัวมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 51 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจค้าปลีก ทั้งนี้ ดัชนีค้าปลีกลดลงอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 51 ถึงปลายปี 52 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ยังค่อนข้างต่ำแม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 76.5 ในเดือนพ.ย. 52 จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนพ.ค.52 ที่ 71.5 อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด หรือ ทริสฯ ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้ม Stable หรือคงที่ สะท้อนถึงการมีศูนย์การค้าใจกลางเมืองที่มีชื่อเสียงด้วยปริมาณการสัญจรของลูกค้าจำนวนมาก การมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญญาการเช่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถการระดมทุนโดยให้เช่าพื้นที่หรือเซ้งศูนย์การค้าระยะยาว
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าที่บริษัทจะต้องจ่ายในอนาคตซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลังสัญญาปัจจุบันหมดอายุในปี 56 และแผนการขยายธุรกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ นอกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว นโยบายขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในกิจการที่มิใช่ธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากยังเป็นประเด็นกังวลเพิ่มด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนจากศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และแม้ว่าจะมีรายจ่ายฝ่ายทุนที่ค่อนข้างสูงมากตามแผนขยายกิจการระหว่างปี 53-54 แต่คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง โดยอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงการลงทุนเป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสฯ
ทริสฯ กล่าวว่าช่วงที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปอยู่บ้าง แต่บริษัทยังมีผลประกอบการในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนอยู่ที่ระดับ 5,800 ล้านบาทช่วง 2 ปีบัญชีล่าสุด และเพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 ความสามารถการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยกำไรจากการดำเนินงานลดลงและ 33% ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 เงินทุนจากการดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาท ช่วง 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 2,720 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ช่วงปลายปี 52 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมซึ่งลดลงจาก 27% ในรอบปีบัญชี 50/51 เหลือ 22.5% ในรอบปีบัญชี 51/52 นั้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 34.8% (ยังไม่ได้ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในไตรมาสแรกปีบัญชี 52/53 แม้ระดับหนี้สินจะเพิ่มขึ้นจาก 6,524 ล้านบาทเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 51 เป็น 7,800 ล้านบาทในเดือนมิ.ย. และก.ย. 52 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ที่ระดับ 37%-39% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยชะลอตัวมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 51 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจค้าปลีก ทั้งนี้ ดัชนีค้าปลีกลดลงอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 51 ถึงปลายปี 52 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ยังค่อนข้างต่ำแม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 76.5 ในเดือนพ.ย. 52 จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนพ.ค.52 ที่ 71.5 อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง