สุราษฎร์ธานี-ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 6 เผยเม็ดเงินลงทุนใต้ตอนบนตลอดปี 52 เกือบ 9 พันล้านกว่า 45 โครงการได้รับอนุมัติ คาดปีหน้า มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากศักยภาพของพื้นที่ 7 จังหวัด ส่วนธุรกิจหลัก นักลงทุนยังเน้นลงทุนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค
นางวนิดา ใหม่กิจเหมา ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 6 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งรับผิดชอบดูแลการลงทุนในเขตพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เปิดเผยว่าการลงทุนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบนปี 2552 ขยายตัวต่ำกว่าปี 2551 ที่ผ่านมาไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะเป็นโครงการขนาดเล็ก
สำหรับจังหวัดที่มีการลงทุนสูงยังคงเป็นจังหวัดสุราษฏร์ธานี รองลงมาได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต กระบี่ ชุมพร และระนอง ตามลำดับ การลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในประเภทกิจการบริการและสาธารณูปโภค และประเภทแปรรูปผลิตผลการเกษตร โดยการลงทุนภาคใต้ตอนบนตลอดปี 2552 คาดว่าจะมีโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติไม่ต่ำกว่า 45 โครงการ เงินลงทุนประมาณ 9 พันล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนในภาคใต้ตอนบนปี 2552 ลดลงจากปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้การสั่งสินค้าจากต่างประเทศลดลง นักลงทุนจึงได้ชะลอการตัดสินใจลงทุนในพื้นที่ในช่วงปี 2552 นี้ ประกอบกับปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่สงบ การท่องเที่ยวที่ชะลอตัวจากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และปัญหาจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 เป็นต้น
นางวนิดา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2553 คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบนมากกว่าปี 2552 ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การสั่งซื้อสินค้าน่าจะเพิ่มมากขึ้นซึ่งก็จะส่งผลให้นักลงทุนตัดสินใจขยายการลงทุนและลงทุนใหม่อีก ประกอบกับศักยภาพของพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนนั้นยังน่าลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจหลักที่นักลงทุนยังให้ความสนใจคือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค เป็นต้น
ขณะที่ภาวะการลงทุนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบนช่วงมกราคม-พฤศจิกายน พ.ศ.2552 มีโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมจำนวน 41 โครงการ เงินลงทุน 8,193 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติภาคใต้ตอนบนส่วนใหญ่ มีขนาดเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท ขณะที่โครงการลงทุนส่วนใหญ่เป็นของคนไทยเองทั้งสิ้นประมาณร้อยละ 60 โดยร่วมหุ้นกับต่างชาติประมาณร้อยละ 20 และเป็นของชาวต่างชาติเองทั้งสิ้น สัดส่วนเท่ากับร่วมหุ้นกับต่างชาติคือประมาณร้อยละ20
