นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากแผนการลงทุนใน 5 ปี (ปี 2553 - 2557) ของ ปตท. จะใช้วงเงินรวม 243,518 ล้านบาท โดยส่วนนี้บริษัทมีแผนจัดหาเงินกู้วงเงินรวม 1.1 แสนล้านบาท โดยจะขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 ในช่วงเดือนเม.ย.ปีหน้า อนุมัติวงเงินกู้/ออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีก 8 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้ที่ยังค้างอยู่อีก 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาสแรกปี 2553 ซึ่งที่ผ่านมาการจัดหาเงินทุนของบริษัทมาจากการจัดหาออกหุ้นกู้และกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
"แหล่งเงินทุนที่ใช้ตามแผนการลงทุน 5ปีข้างหน้าจะมาจากผลการดำเนินงานกึ่งหนึ่ง ที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมหรือออกหุ้นกู้วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท โดยวงเงินกู้ดังกล่าวจะนำมาใช้ลงทุนหรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนด ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสแรกปีหน้าว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร และจัดหาเงินทุนแบบไหน ซึ่งต้องรอดูสถานการตลาดเงินประกอบด้วย"
ทั้งนี้ แผนการลงทุน 5 ปี จะใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติประมาณ 46% ของวงเงินลงทุนรวม 2.43 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยลงทุนในธุรกิจก๊าซฯสูงถึง 80% โดยจะลงทุนในโครงการท่อส่งก๊าซฯเส้นที่ 4 บนบก และโครงการก่อสร้างสถานี NGV สาเหตุเนื่องวงเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซฯ ลดลง เนื่องจากการลงทุนในประเทศค่อนข้างอิ่มตัวที่จะเห็นได้จากที่ผ่านมา ปตท.ลงทุนวางท่อก๊าซฯเส้นที่ 3 ในทะเลเพื่อรองรับปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทย และมีการสร้างโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 ต่อยอดไปถึงธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งถือว่าครบวงจรแล้ว หากจะมีการลงทุนเพิ่มเติมก็คงขึ้นอยู่กับมีการสำรวจพบปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะทำให้ปตท.ลงทุนดาวน์สตรีมต่อไป
ส่วนวงเงินลงทุนในธุรกิจร่วมทุน (ต่างประเทศ) กลับเพิ่มมากขึ้นเป็น 46% ของวงเงินลงทุนรวม ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวทางการทำธุรกิจของปตท.ที่จะมุ่งเน้นการขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นการลงทุนอัพสตรีมมากขึ้นทั้งธุรกิจถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ แอลเอ็นจี เป็นต้น
นายเทวินทร์ กล่าวยืนยันว่า การขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้มาจากปัญหามาบตาพุด แต่การลงทุนในมาบตาพุดไม่สามารถขยายเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากจะมีการขยายการลงทุนใหม่คงต้องมองทำเลอื่นแทน เช่น เซาท์เทิร์นซีบอร์ด
สำหรับผลกระทบโครงการต่างๆ ของปตท.ที่ศาลปกครองสั่งให้ที่ระงับกิจกรรมในมาบตาพุดเป็นการชั่วคราวนั้น เบื้องต้นมองว่าจะกระทบเพียงระยะสั้น เนื่องจากโครงการต้องล่าช้าออกไป และยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบกระแสเงินสดในการดำเนินงาน ทำให้ไม่มีปัญหาการเรียกชำระหนี้คืนจากเจ้าหนี้ก่อนกำหนด เพราะการจัดหาเงินกู้โครงการเหล่านี้มาจากคอร์ปอเรท ไฟแนนซ์ ซึ่งสถาบันการเงินมีความมั่นใจฐานะการเงินของปตท.ว่าเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับภาระดังกล่าวได้แม้ว่าบางโครงการเสร็จล่าช้าออกไป
ส่วนความคืบหน้าแผนการควบรวมบริษัทในเครือปตท. ทั้ง บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และบมจ.ปตท.เคมิคอล( PTTCH) ขณะนี้ความชัดเจนเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากโครงการลงทุนของอะโรเมติกส์และการกลั่นที่มาบตาพุดสามารถดำเนินการต่อไป ไม่มีปัญหา คงเหลือแต่บางโครงการของปตท.เคมิคอลที่อยู่ระหว่างการรอความชัดเจนจากศาลฯ มั่นใจว่าต้นปีหน้าจะเห็นภาพชัดขึ้น จากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายว่าแนวทางการควบรวมจะแล้วเสร็จต.ค.ที่ผ่านมา
"แหล่งเงินทุนที่ใช้ตามแผนการลงทุน 5ปีข้างหน้าจะมาจากผลการดำเนินงานกึ่งหนึ่ง ที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมหรือออกหุ้นกู้วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท โดยวงเงินกู้ดังกล่าวจะนำมาใช้ลงทุนหรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนด ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสแรกปีหน้าว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร และจัดหาเงินทุนแบบไหน ซึ่งต้องรอดูสถานการตลาดเงินประกอบด้วย"
ทั้งนี้ แผนการลงทุน 5 ปี จะใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติประมาณ 46% ของวงเงินลงทุนรวม 2.43 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยลงทุนในธุรกิจก๊าซฯสูงถึง 80% โดยจะลงทุนในโครงการท่อส่งก๊าซฯเส้นที่ 4 บนบก และโครงการก่อสร้างสถานี NGV สาเหตุเนื่องวงเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซฯ ลดลง เนื่องจากการลงทุนในประเทศค่อนข้างอิ่มตัวที่จะเห็นได้จากที่ผ่านมา ปตท.ลงทุนวางท่อก๊าซฯเส้นที่ 3 ในทะเลเพื่อรองรับปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทย และมีการสร้างโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 ต่อยอดไปถึงธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งถือว่าครบวงจรแล้ว หากจะมีการลงทุนเพิ่มเติมก็คงขึ้นอยู่กับมีการสำรวจพบปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะทำให้ปตท.ลงทุนดาวน์สตรีมต่อไป
ส่วนวงเงินลงทุนในธุรกิจร่วมทุน (ต่างประเทศ) กลับเพิ่มมากขึ้นเป็น 46% ของวงเงินลงทุนรวม ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวทางการทำธุรกิจของปตท.ที่จะมุ่งเน้นการขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นการลงทุนอัพสตรีมมากขึ้นทั้งธุรกิจถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ แอลเอ็นจี เป็นต้น
นายเทวินทร์ กล่าวยืนยันว่า การขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้มาจากปัญหามาบตาพุด แต่การลงทุนในมาบตาพุดไม่สามารถขยายเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากจะมีการขยายการลงทุนใหม่คงต้องมองทำเลอื่นแทน เช่น เซาท์เทิร์นซีบอร์ด
สำหรับผลกระทบโครงการต่างๆ ของปตท.ที่ศาลปกครองสั่งให้ที่ระงับกิจกรรมในมาบตาพุดเป็นการชั่วคราวนั้น เบื้องต้นมองว่าจะกระทบเพียงระยะสั้น เนื่องจากโครงการต้องล่าช้าออกไป และยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบกระแสเงินสดในการดำเนินงาน ทำให้ไม่มีปัญหาการเรียกชำระหนี้คืนจากเจ้าหนี้ก่อนกำหนด เพราะการจัดหาเงินกู้โครงการเหล่านี้มาจากคอร์ปอเรท ไฟแนนซ์ ซึ่งสถาบันการเงินมีความมั่นใจฐานะการเงินของปตท.ว่าเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับภาระดังกล่าวได้แม้ว่าบางโครงการเสร็จล่าช้าออกไป
ส่วนความคืบหน้าแผนการควบรวมบริษัทในเครือปตท. ทั้ง บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และบมจ.ปตท.เคมิคอล( PTTCH) ขณะนี้ความชัดเจนเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากโครงการลงทุนของอะโรเมติกส์และการกลั่นที่มาบตาพุดสามารถดำเนินการต่อไป ไม่มีปัญหา คงเหลือแต่บางโครงการของปตท.เคมิคอลที่อยู่ระหว่างการรอความชัดเจนจากศาลฯ มั่นใจว่าต้นปีหน้าจะเห็นภาพชัดขึ้น จากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายว่าแนวทางการควบรวมจะแล้วเสร็จต.ค.ที่ผ่านมา