ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”โยนครม.เศรษฐกิจตัดสินใจปล่อยผีหรือคุมเข้มคนต่างด้าวทำธุรกิจในไทย เสนอตัดธุรกิจที่มีกฎหมายและหน่วยงานคุมพ้นบัญชี หวังลดความซ้ำซ้อน ดันตั้งหน่วยงานระดับนโยบายกำหนดแนวทางดูแล รื้อคำนิยามคนต่างด้าวใหม่ คุมเสียงเกิน 50% มีอำนาจบริหาร แต่งตั้งคนได้ ถือเป็นต่างด้าว พร้อมปลดเอกชนออกจากบอร์ดกันข้อครหาประโยชน์ทับซ้อน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาแนวทางการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยจะเสนอให้พิจารณา 2 แนวทาง คือ แนวทางผ่อนปรน และแนวทางเข้มงวด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทย ก่อนที่จะนำไปปรับปรุงกฎหมายเพื่อบังคับใช้ในระยะต่อไป
สำหรับแนวทางที่ 1 เป็นแนวทางผ่อนปราน จะเสนอให้ยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี 3 ซึ่งจะเน้นธุรกิจที่มีกฎหมายและหน่วยงานเฉพาะควบคุมดูแลอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจอนุพันธ์ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ธุรกิจโรงรับจำนำ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโรงเรียน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
นอกจากนี้ จะเสนอให้มีการยกเลิกการบังคับทุนขั้นต่ำ 100 ล้านบาทของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งจะมีผลทำให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทุกรายต้องมาขออนุญาตประกอบธุรกิจ จากเดิมหากมีทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปไม่เป็นธุรกิจสงวน
“การยกเลิกบางธุรกิจออกไป แล้วให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล เป็นการลดความซ้ำซ้อนในการประกอบธุรกิจ และไม่มีผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของต่างด้าว ทั้งที่ได้ลงทุนอยู่แล้วและกำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุน แต่อาจจะมีผลเสียที่การยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี อาจกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่พร้อมแข่งขัน ทั้งในด้านเงินทุนและเทคโนโลยี”แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 เป็นแนวทางเข้มงวด โดยจะมีการยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี 3 เช่นเดียวกันแนวทางที่ 1 แต่จะเพิ่มความเข้มงวดโดยจัดตั้งหน่วยงานระดับนโยบายเพื่อบูรณาการการดำเนินงานควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้ธุรกิจของคนต่างด้าวต้องแจ้งข้อมูลในการประกอบธุรกิจ
ขณะเดียวกัน จะเสนอให้มีการปรับปรุงนิยามคนต่างด้าวใหม่ โดยแก้ไขให้ครอบคลุมกรณีคนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ร้อยละ 50 การควบคุมการบริหารจัดการ หรือมีอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารข้างมาก รวมทั้งการได้รับผลประโยชน์ แต่จะมีบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับผู้ที่ประกอบธุรกิจอยู่ก่อนไม่ให้ได้รับผลกระทบ
ส่วนประเด็นอื่นๆ จะปรับปรุงคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยตัดผู้แทนจากภาคเอกชนออกไป เพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยกเลิกเงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราส่วนเงินทุนกับเงินกู้ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเพิ่มอำนาจให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ กรณีไม่ปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในคำขออนุญาต และเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ เช่น การค้น ยึดและอายัด หรือตั้งตำรวจพาณิชย์เพื่อทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย
ในแนวทางที่ 2 นี้ จะทำให้การควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวมีความชัดเจน มีข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวครบถ้วน ไม่มีช่องว่างที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย และภาครัฐจะมีข้อมูลในการกำหนดนโยบายการลงทุนได้อย่างถูกต้อง แต่ก็มีข้อควรระวัง คือ หากกำหนดเงื่อนไขเข้มงวดอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะสั้นและยาว และอาจทำให้คนต่างด้าวที่จะเข้ามาลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในนโยบายของไทย
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาแนวทางการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยจะเสนอให้พิจารณา 2 แนวทาง คือ แนวทางผ่อนปรน และแนวทางเข้มงวด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทย ก่อนที่จะนำไปปรับปรุงกฎหมายเพื่อบังคับใช้ในระยะต่อไป
สำหรับแนวทางที่ 1 เป็นแนวทางผ่อนปราน จะเสนอให้ยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี 3 ซึ่งจะเน้นธุรกิจที่มีกฎหมายและหน่วยงานเฉพาะควบคุมดูแลอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจอนุพันธ์ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ธุรกิจโรงรับจำนำ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโรงเรียน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
นอกจากนี้ จะเสนอให้มีการยกเลิกการบังคับทุนขั้นต่ำ 100 ล้านบาทของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งจะมีผลทำให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทุกรายต้องมาขออนุญาตประกอบธุรกิจ จากเดิมหากมีทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปไม่เป็นธุรกิจสงวน
“การยกเลิกบางธุรกิจออกไป แล้วให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล เป็นการลดความซ้ำซ้อนในการประกอบธุรกิจ และไม่มีผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของต่างด้าว ทั้งที่ได้ลงทุนอยู่แล้วและกำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุน แต่อาจจะมีผลเสียที่การยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี อาจกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่พร้อมแข่งขัน ทั้งในด้านเงินทุนและเทคโนโลยี”แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 เป็นแนวทางเข้มงวด โดยจะมีการยกเลิกบางธุรกิจออกจากบัญชี 3 เช่นเดียวกันแนวทางที่ 1 แต่จะเพิ่มความเข้มงวดโดยจัดตั้งหน่วยงานระดับนโยบายเพื่อบูรณาการการดำเนินงานควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้ธุรกิจของคนต่างด้าวต้องแจ้งข้อมูลในการประกอบธุรกิจ
ขณะเดียวกัน จะเสนอให้มีการปรับปรุงนิยามคนต่างด้าวใหม่ โดยแก้ไขให้ครอบคลุมกรณีคนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ร้อยละ 50 การควบคุมการบริหารจัดการ หรือมีอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารข้างมาก รวมทั้งการได้รับผลประโยชน์ แต่จะมีบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับผู้ที่ประกอบธุรกิจอยู่ก่อนไม่ให้ได้รับผลกระทบ
ส่วนประเด็นอื่นๆ จะปรับปรุงคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยตัดผู้แทนจากภาคเอกชนออกไป เพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยกเลิกเงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราส่วนเงินทุนกับเงินกู้ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเพิ่มอำนาจให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ กรณีไม่ปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในคำขออนุญาต และเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ เช่น การค้น ยึดและอายัด หรือตั้งตำรวจพาณิชย์เพื่อทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย
ในแนวทางที่ 2 นี้ จะทำให้การควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวมีความชัดเจน มีข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวครบถ้วน ไม่มีช่องว่างที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย และภาครัฐจะมีข้อมูลในการกำหนดนโยบายการลงทุนได้อย่างถูกต้อง แต่ก็มีข้อควรระวัง คือ หากกำหนดเงื่อนไขเข้มงวดอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะสั้นและยาว และอาจทำให้คนต่างด้าวที่จะเข้ามาลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในนโยบายของไทย
