ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์” เคาะเก็บภาษีเอดีกรดซิทริกจากจีนต่อหรือไม่วันนี้ ส่วนจะเก็บภาษีเอดีกระเบื้องจากจีนหรือไม่ ต้องถ่วงน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ผู้ผลิตกระเบื้องไทยที่ผูกขาด กับประโยชน์วงการก่อสร้างที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในวันนี้ (28 ธ.ค.) นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะประชุมคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ภายใต้พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศพ.ศ.2542 โดยจะพิจารณาผลการทบทวนความจำเป็นในการต่ออายุมาตรการตอบการทุ่มตลาด (เอดี) สินค้ากรดซิทริก ซึ่งเป็นกรดที่ให้ความเปรี้ยว ซึ่งอุตสาหกรรมต่างๆ นำมาใช้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากประเทศจีน ภายหลังจากไทยเรียกเก็บอากรเอดีจากกรดซิทริกของจีนครบ 5 ปีแล้ว
ทั้งนี้ แนวทางที่จะพิจารณา หากผู้ประกอบการไทยนำเข้ามาเพื่อส่งออกต่อก็ไม่อยากจะเก็บอากรเอดีอีกต่อไป เพราะไม่อยากให้กระทบกับการหารายได้เข้าประเทศ แต่หากนำเข้ามาเพื่อใช้ในประเทศ ก็จะเก็บต่อ เพราะการทุ่มตลาด หรือขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ผู้ผลิตกรดซิทริกภายในของไทยได้รับความเสียหาย แต่ตอนนี้ ยังจำแนกไม่ได้ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมใดนำเข้าเพื่อส่งออก และเพื่อใช้ในประเทศ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่มีทั้งส่งออก และขายในประเทศ ซึ่งคงต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กรมการค้าต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากระเบื้องจากประเทศจีน ตามที่ผู้ผลิตกระเบื้องในไทยร้องขอนั้น คงต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบถึงผลดี ผลเสียของการใช้มาตรการเอดี เพราะหากคณะกรรมการฯ ตัดสินให้ใช้มาตรการเอดี โดยเรียกเก็บภาษีเอดีจากกระเบื้องนำเข้าจากจีน จะทำให้กระเบื้องจีนมีราคาขายสูงขึ้น ถือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตไทย ที่มีน้อยราย และผูกขาดตลาด
แต่ในทางกลับกัน หากไม่ใช้มาตรการเอดี จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ใช้กระเบื้อง เพราะมีต้นทุนต่ำลง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีหน้า ที่เงินจากโครงการไทยเข้มแข็งจะอัดฉีดเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยเน้นโครงการก่อสร้างเป็นหลัก ก็จะทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างขยายตัว มีการจ้างงานเพิ่ม มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมหาศาล และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ดี
“ตอนนี้ คณะกรรมการฯ ยังไม่มีวาระประชุมกรณีกระเบื้องจากจีน แต่การพิจารณาใช้มาตรการคงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการช่วยเหลือผู้ผลิตกระเบื้องบางราย ที่ผูกขาดตลาด กับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่มีผู้ประกอบการ และแรงงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้า” นายธนพรกล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในวันนี้ (28 ธ.ค.) นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะประชุมคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ภายใต้พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศพ.ศ.2542 โดยจะพิจารณาผลการทบทวนความจำเป็นในการต่ออายุมาตรการตอบการทุ่มตลาด (เอดี) สินค้ากรดซิทริก ซึ่งเป็นกรดที่ให้ความเปรี้ยว ซึ่งอุตสาหกรรมต่างๆ นำมาใช้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากประเทศจีน ภายหลังจากไทยเรียกเก็บอากรเอดีจากกรดซิทริกของจีนครบ 5 ปีแล้ว
ทั้งนี้ แนวทางที่จะพิจารณา หากผู้ประกอบการไทยนำเข้ามาเพื่อส่งออกต่อก็ไม่อยากจะเก็บอากรเอดีอีกต่อไป เพราะไม่อยากให้กระทบกับการหารายได้เข้าประเทศ แต่หากนำเข้ามาเพื่อใช้ในประเทศ ก็จะเก็บต่อ เพราะการทุ่มตลาด หรือขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ผู้ผลิตกรดซิทริกภายในของไทยได้รับความเสียหาย แต่ตอนนี้ ยังจำแนกไม่ได้ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมใดนำเข้าเพื่อส่งออก และเพื่อใช้ในประเทศ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่มีทั้งส่งออก และขายในประเทศ ซึ่งคงต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กรมการค้าต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากระเบื้องจากประเทศจีน ตามที่ผู้ผลิตกระเบื้องในไทยร้องขอนั้น คงต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบถึงผลดี ผลเสียของการใช้มาตรการเอดี เพราะหากคณะกรรมการฯ ตัดสินให้ใช้มาตรการเอดี โดยเรียกเก็บภาษีเอดีจากกระเบื้องนำเข้าจากจีน จะทำให้กระเบื้องจีนมีราคาขายสูงขึ้น ถือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตไทย ที่มีน้อยราย และผูกขาดตลาด
แต่ในทางกลับกัน หากไม่ใช้มาตรการเอดี จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ใช้กระเบื้อง เพราะมีต้นทุนต่ำลง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีหน้า ที่เงินจากโครงการไทยเข้มแข็งจะอัดฉีดเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยเน้นโครงการก่อสร้างเป็นหลัก ก็จะทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างขยายตัว มีการจ้างงานเพิ่ม มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมหาศาล และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ดี
“ตอนนี้ คณะกรรมการฯ ยังไม่มีวาระประชุมกรณีกระเบื้องจากจีน แต่การพิจารณาใช้มาตรการคงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการช่วยเหลือผู้ผลิตกระเบื้องบางราย ที่ผูกขาดตลาด กับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่มีผู้ประกอบการ และแรงงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้า” นายธนพรกล่าว
